LANNA คาดสรุปร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินอินโดฯ 55 MW ในก.ย. พร้อมเล็งลงทุนเพิ่มอีก 2 แห่ง มีความคืบหน้าปี 62

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 28, 2018 15:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสีหศักดิ์ อารีราชการัณย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าในการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในประเทศอินโดนีเซีย กำลังการผลิต 55 เมกะวัตต์ (MW) ร่วมกับอินโดนีเซีย เพาเวอร์ โดยบริษัทจะเข้าไปถือหุ้นราว 35-45% โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนก.ย.นี้ และจะนำเรื่องการลงทุนดังกล่าวเข้าเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือน ต.ค.61 คาดว่าการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าวน่าจะแล้วเสร็จก่อนสิ้นปี 61 โดยใช้เงินกู้สถาบันการเงินและกระแสเงินสดของบริษัท

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินแรกที่บริษัทได้ใกล้ได้ข้อสรุป กำลังการผลิต 200 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าไปร่วมลงทุนกับอินโดนีเซีย เพาเวอร์ ในสัดส่วน 25% ของมูลค่าโครงการ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนของการลงทุนในช่วงปี 62

ส่วนอีกหนึ่งโครงการเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ กำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุน 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งโครงการนี้บริษัทจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเป็นโครงการที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และบริษัทไม่สามารถเข้าไปลงทุนในสัดส่วนที่มากได้ ซึ่งอาจจะต้องเจรจากับผู้ประกอบที่อยู่อุตสาหกรรมในประเทศเพื่อร่วมกันเข้าลงทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่เร่งรีบตัดสินใจลงทุนในโครงการนี้ แม้ว่าจะเป็นโครงการที่มีศักยภาพ จากการที่มีใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้า (PPA) แล้ว และมีฐานลูกค้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมในละแวกโรงงานที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ก็ตาม

"แม้ว่าผู้ประกอบการเจ้าอื่นในประเทศจะหันไปลงทุนโครงการพลังงานสะอาดกันมากขึ้น แต่บริษัทยังคงเน้นการลงทุนโครงการพลังงานที่เรามีความเชี่ยวชาญ ซึ่งก็ยังคงเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะเรายังมีความมั่นใจว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินยังมีบทบาทในการผลิตไฟฟ้าได้ โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย และเรามีการค้าขายถ่านหินให้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินในอินโดฯอยู่แล้ว ทำให้เรายังคงมองการลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เรามีความถนัดมากกว่า"นายสีหศัก กล่าว

นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมของผลการดำเนินงานในปี 61 คาดว่าจะสามารถทำกำไรเติบโตเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะธุรกิจถ่านหินซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตามปริมาณและราคาขายถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและยังมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการถ่านหินของจีน โดยคาดว่าราคาถ่านหินเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 85 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน

ส่วนเป้าหมายการผลิตและขายถ่านหินในปีนี้ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าที่ 6.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากระดับ 5.7 ล้านตันในปีก่อน โดยครึ่งปีแรกสามารถผลิตและขายไปได้แล้ว 3.45 ล้านตัน โดยปริมาณการผลิตและขายถ่านหินในปีนี้ จะมาจากเหมือง LHI ที่ 3.9 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อนที่ 3.5 ล้านตัน และ เหมือง SGP คาดผลิตได้ 2.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 2.2 ล้านตัน

ขณะที่ปริมาณขายถ่านหินในประเทศนั้นยอมรับว่าได้ผลกระทบหลังจากที่ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) ได้เข้าไปลงทุนในเหมืองถ่านหินเอง ทำให้ปริมาณการขายถ่านหินในประเทศให้กับ SCCC ลดลงไป 100,000 ตัน/ปี ส่งผลให้ปริมาณการขายถ่านหินในประเทศปีนี้พลาดเป้าที่ 900,000 ตัน มาอยู่ที่ 800,000 ตัน แต่บริษัทก็ได้มีการขายถ่านหินให้กับลูกค้ารายย่อยในประเทศเพื่อเป็นการชดเชยในส่วนที่หายไปของ SCCC โดยคาดว่าจะมีปริมาณการขายถ่านหินให้กับลูกค้ารายย่อยในประเทศสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 30,000 ตัน จากปัจจุบันที่ 15,000 ตัน

ด้านธุรกิจเอทานอล ซึ่งเป็นธุรกิจรองจะสามารถทำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่องในปีนี้ เนื่องจากในครึ่งปีหลังราคาวัตถุดิบกากน้ำตาลซึ่งเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง และมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยใช้น้ำตาลดิบมาผสมเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอลทำให้ได้ผลผลิตที่ดีและมีต้นทุนที่ต่ำ

ประกอบกับในปีก่อนได้เกิดอุทกภัยทำให้บ่อกักเก็บน้ำกากส่าชำรุดและพังทลายจนต้องหยุดการผลิตและจำหน่ายเอทานอลไปกว่า 2 เดือน และมีค่าใช้จ่ายพิเศษที่ต้องจ่ายชดเชยค่าเสียหายให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบเป็นเงิน 73.32 ล้านบาท แต่ปัจจุบันได้ปรับปรุงแก้ไขบ่อกักเก็บน้ำกากส่าให้มีความมั่นคงแข็งแรงและลดระดับการกักเก็บน้ำกากส่าในแต่ละบ่อให้ต่ำลงเพื่อให้มีระยะ Freeboard ที่เผื่อไว้มากขึ้น และคาดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขี้นอีกในปี 61


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ