FC ลุ้น Relisting ตามเกณฑ์กำไรหลังโอนกิจการให้กลุ่มไพร์มโรดแต่คาดยังไม่ชัดเจนปีนี้ พร้อมเตรียมหาทางออกอื่นหากไม่ผ่าน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 3, 2018 14:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเอ สัจเดว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ฟู้ด แคปปิตอล (FC) เปิดเผยว่า การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ (Relisting) หลังจากกลุ่มไพร์มโรดเข้ามารับโอนกิจการทั้งหมด ยังอาจจะไม่ชัดเจนภายในปีนี้ เนื่องจากการใช้เกณฑ์กำไรสุทธิของกลุ่มไพร์มโรดยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยใช้งบการเงินแบบเสมือน ยังไม่ได้สร้างความมั่นใจว่าจะมีกำไรเกินกว่า 10 ล้านบาทตามที่ ตลท.กำหนดไว้ ดังนั้น จึงอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางอื่น

"กลุ่มไพร์มโร้ดมีกำไรสุทธิสูงกว่าเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งทางผู้ตรวจสอบบัญชีของบริษัท คือ PWC ได้มีการตรวจสอบและรับรองงบการเงินของกลุ่มไพร์มโรดแล้ว และยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีการยื่นงบการเงินที่มีกำไรกว่า 10 ล้านบาทไป แต่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯยังไม่มั่นใจว่ากำไรที่แสดงไว้จะถึง 10 ล้านบาทจริง"นายเอ กล่าว

ปัจจุบันบริษัททำงานร่วมกับ ตลท.เพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อทำให้ดีลนี้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อบริษัท ผู้ถือหุ้น และนักลงทุน ซึ่งการที่ตลท.ไม่มั่นใจในกำไรของกลุ่มไพร์มโรดที่ส่งมานั้น เพราะ ตลท.มีความเข้มงวดในการตรวจสอบตามดุลยพินิจ เพื่อปกป้องนักลงทุน ทำให้ดีลดังกล่าวยังไม่ได้มีความชัดเจนในตอนนี้ และต้องกลับมาวางแผนอีกหนึ่งแนวทางที่เป็นเกณฑ์สำรอง หากเกณฑ์กำไรสุทธิไม่ผ่านความเห็นชอบจาก ตลท.

"ตอนนี้เราก็ทำงานหนักร่วมกับทางตลาดหลักทรัพย์ในการหาทางแก้ปัญหา ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร และยังไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าดีลดังกล่าวจะได้ข้อสรุปช่วงไหน แต่เรายังตั้งใจให้ดีลการรับโอนกิจการและเพิ่มทุนให้กับกลุ่มไพร์มโรดเดินหน้าต่อไปได้ และประสบความสำเร็จ เพื่อพลิกฟื้น FC ให้มีกำไร และมีส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้ และก็จะปลดเครื่อง C ออก โดยที่หลังจากกลุ่มไพร์มโรดเข้ามาแล้วจะทำให้บริษัทมีกำไรและกลับมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้"นายเอ กล่าว

ตามแผนงานดังกล่าว กลุ่มไพร์มโรดเสนอที่จะเข้ามารับโอนกิจการทั้งหมดจาก FC ขณะที่ FC จะจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ให้กับกลุ่มไพร์มโรด 1.4 หมื่นล้านหุ้น ในราคาเสนอขาย 0.27 บาทหุ้น เพื่อหยุดผลขาดทุนและทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นกลับมาเป็นไปตามเกณฑ์ไม่ต่ำกว่า 50% โดยกลุ่มไพร์มโรดจะเข้ามาเป็นผุ้ถือหุ้นใหญ่ใน FC สัดส่วน 84% และสัดส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมจะลดลงเหลือเพียง 6% จากเดิม 40% ส่วนที่เหลือเป็นของผู้ถือหุ้นอื่นๆ

หลังจากที่กลุ่มไพร์มโร้ดเข้ามาแล้วนั้นจะทำให้ FC รับรู้รายได้และกำไรตั้งแต่วันแรกหลังรับโอนกิจการสำเร็จทันที และ FC จะมีรายได้หลักมาจากธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มไพร์มโรดมีโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ผลิตและจำน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วจำนวน 132 เมกาวัตต์ จำนวน 17 โครงการ และอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตซื้อขายไฟ (PPA) อีก 7 โครงการ รวม 68 เมกาวัตต์

ส่วนธุรกิจร้านอาหารบริษัทที่มีอยู่ 6 แบรนด์ ได้แก่ Domino Pizza, Kyochon, The Coffee Bean & Tea Leaf, Maggie Choo's, fat gut'z saloon และ The Iron Fairies รวมถึงร้านอาหารในเครือบริษัท จี เอ็นเตอร์ไพรส์ แอนด์ โค จำกัด บริษัทจะทำการจำหน่ายออกไปให้กับผู้ที่สนใจที่ให้ราคาเสนอซื้อสูงที่สุด โดยจะทยอยดำเนินการทั้งก่อนและหลังการโอนกิจการให้กับกลุ่มไพร์มโรดสำเร็จ เพื่อเป็นไปตามข้อตกลงระกว่าง FC และกลุ่มไพร์มโรดที่จะไม่ดำเนินธุรกิจอาหารอีกต่อไป เพราะเป็นธุรกิจที่สร้างผลขาดทุนให้กับ FC จากการแข่งขันที่สูง และมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่มาก

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขายแบรนด์ร้านอาหาร 1 แบรนด์ให้กับผู้สนใจ คาดว่าภายในช่วงที่เหลือของปีนี้จะสามารถสรุปได้ อย่างไรก็ตามหากบริษัทไม่สามารถขายธุรกิจร้านอาหารออกไปได้ ทางกลุ่มศรีชวาลาจะเป็นผู้ยินดีรับซื้อธุรกิจอาหารทั้งหมด

ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง คาดว่าจะยังคงมีผลขาดทุนอยู่แต่จะลดลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทเดินหน้าลดต้นทุนและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการทำครัวกลางขึ้นเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง พร้อมกับการเพิ่มยอดขายของร้านอาหารในทุกแบรนด์ รวมถึงเพิ่มศักยภาพการทำงานของพนักงาน และปรับโครงสร้างองค์กรให้มีลำดับขั้นลดลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลดต้นทุน ทั้งนี้ เพื่อให้บริษัทมีการขาดทุนลดลง

ในงวดครึ่งปีแรกบริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนอยู่ที่ 283.58 ล้านบาท และคาดว่าในปีนี้จะขาดทุนลดลงจากปีก่อนที่ขาดทุนอยู่ที่ 943.33 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทในครึ่งปีแรกนั้นลดลงมาอยู่ที่ 298.90 ล้านบาท น้อยกว่าทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 2.13 พันล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 14% ลดลงจากสิ้นปีก่อนที่ 21.3%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ