SIRI เผยยอดขายคอนโดฯ พุ่งเป็น 2.4 หมื่นลบ.เข้าใกล้เป้าทั้งปีที่ 3 หมื่นลบ.ตามกำลังซื้อลูกค้าตปท.ดี-ในปท.ฟื้นตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 12, 2018 17:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายภูมิศักดิ์ จุลมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัททำยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมได้แล้ว 2.4 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่เป้าหมายยอดขายโครงการรวมทุกประเภทอยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท

บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายโครงการในปีนี้ไว้ เนื่องจากปัจจัยหนุนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากยอดขายในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้มียอดขายแล้ว 1 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้กำลังซื้อทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากโครงการคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดล้วนได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และบางโครงการสามารถขายได้หมดในวันพรีเซล อย่างเช่น THE BASE เซ็นทรัลภูเก็ต

ล่าสุด บริษัทได้เปิด 2 โครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ THE BASE ที่ใช้คอนเซ็ปต์ใหม่ คือ MARK BY BASE บน 2 ทำเล คือ THE BASE สุขุมวิท 50 มูลค่า 1.6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับโตคิว และโครงการ THE BASE สะพานใหม่ มูลค่า 2.8 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบีทีเอสกรุ๊ป โดยโครงการ THE BASE สุขุมวิท 50 เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สูง 8 ชั้น 2 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 25-56.75 ตารางเมตร จำนวน 415 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท และมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 115,000 บาท/ตารางเมตร

ส่วนโครงการ THE BASE สะพานใหม่ เป็นคอนโดมิเนียมสูง 14 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 24-55.75 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 2.29 ล้านบาท โดยมีราคาขาย 115,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการพร้อมกันในวันที่ 22-23 ก.ย. 61 ที่ Sale Gallery ชั้น 2 เซ็นจูรี่ เอกมัย โดยคาดว่ายอดขายทั้ง 2 โครงการ จนถึงสิ้นปีนี้จะทำยอดขายได้ 50-60% ส่วนที่เหลือจะทยอยขายในปี 62 โดยบริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งยอดขายมาก เพราะบริษัทได้ปรับกลยุทธ์การขายใหม่มาเป็นการเน้นผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยจริง และเน้นการขายให้ลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้นในสัดส่วน 25-30% โดยส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์

สำหรับอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทในปัจจุบันยังทรงตัวที่ 2-3% พร้อมกับบริษัทได้ปรับเปลี่ยนระเบียบการวางเงินดาวน์ของลูกค้าให้มีวินัยมากขึ้น โดยที่การจองจะต้องผ่านการ Pre-Approve จากสถาบันการเงินในวันจองก่อน เพื่อตรวจสอบความสามารถในการผ่อนชำระเงินกู้ และมีการให้คำแนะนำกับลูกค้าให้นำเงินเงินออมมาชำนะเพิ่มจากเงินดาวน์ในอัตราปกติที่บริษัทกำหนด เพื่อทำให้ตอนยื่นกู้ขอสินเชื่อ ลูกค้าจะได้ขอวงเงินกู้ไม่เกิน 70% ของราคาซื้อ และเป็นผลดีต่อลูกค้าทำให้ค่าใช้จ่ายในอนาคตไม่ตึงตัวมากเกินไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ