ECF คาดแผนร่วมทุนธุรกิจใหม่ด้าน IT Solution กับ S-TREK แล้วเสร็จภายใน พ.ย.61

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 12, 2018 10:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าเข้าศึกษาความเป็นไปได้เพื่อลงทุนในธุรกิจใหม่ด้าน IT Solution หลังจากลงนามร่วมกับ บริษัท เอสเทรค (ประเทศไทย) จำกัด (S-TREK) ในบันทึกข้อตกลงเพื่อเข้าศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจร่วมกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินงานด้านเอกสารต่าง ๆ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย.61

ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่บริษัทอยู่ในช่วงการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ อาทิ โรงไฟฟ้าที่เมียนมาร์ ขนาด 220 เมกะวัตต์ที่บริษัทถือหุ้น 20% โครงการโรงงานผลิตแผ่นไม้เอ็มดีเอฟ ซึ่งปัจจุบันทั้งสองโครงการยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่ช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทยังสามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงานให้เกิดขึ้นได้ และมีรายได้จากส่วนธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เติบโตตั้งแต่ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น

ส่วนไตรมาส 4 แนวโน้มรายได้ของบริษัทคาดสามารถสร้างการเติบโตได้ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์เริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น

นายอารักษ์ กล่าวว่า ด้านธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายในประเทศด้วยแบรนด์ Costa อย่างต่อเนื่อง กระจายสินค้าเข้าสู่ร้านค้าปลีก-ส่งเฟอร์นิเจอร์ทั่วประเทศแล้วกว่า 1,500 ราย และในช่วงที่ผ่านมาได้จัดโปรโมชั่นให้กับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศเพื่อเร่งยอดขาย อีกทั้งมีการขยายฐานตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ต่าง ๆ ตลอดจนการขยายช่องทางร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำทั่วประเทศ ขณะที่ตลาดต่างประเทศในช่วงไตรมาส 4 ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นที่จะมียอดคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนภายหลังจากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลขนาด 7.5 เมกะวัตต์ที่นราธิวาส จำหน่ายไฟฟ้ามาได้ปีกว่าแล้วตอนนี้ความคืบหน้าสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 MW ประเทศเมียนมาร์ ขณะนี้การก่อสร้างเฟสแรกมีความคืบหน้าไปมาก คาดว่าจะเริ่ม COD ภายในไตรมาส 1/62 สำหรับเฟส 2-3-4 รวมทั้งสิ้น 220 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการปรับแผนงานเพื่อหาทางเร่งการก่อสร้างให้ครบโดยเร็วที่สุดจากแผนเดิมเสร็จปีละ 1 เฟส เพื่อส่งผลดีต่อการรับรู้รายได้ที่จะเร็วขึ้นจากเดิม

นายอารักษ์ กล่าวต่อไปถึงผลประกอบการไตรมาส 3/61 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 369.52 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมที่ 353.50 ล้านบาท จำนวน 16.02 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.53% และมีกำไรจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ 13.77 ล้านบาท สำหรับกำไรรวมธุรกิจอื่น ๆ และธุรกิจพลังงานมีกำไร 8.52 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่งวด 9 เดือนมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,071.65 ล้านบาท มียอดขายใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,080.19 ล้านบาท และมีกำไรจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ 30.91 ล้านบาท สำหรับกำไรรวมธุรกิจอื่น ๆ และธุรกิจพลังงานมีกำไร 21.52 ล้านบาท กำไรรวมลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 47 %

ทั้งนี้เป็นผลมาจากบริษัทอยู่ระหว่างการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ๆเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งธุรกิจเกี่ยวข้องเฟอร์นิเจอร์ ธุรกิจพลังงาน จึงก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเข้าศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างยังไม่สามารถรับรู้รายได้ในเชิงพาณิชย์ขณะนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ