CHIC รุกขยายทุกช่องทางขายทั้งเพิ่มสาขาใน-ตปท.บุกอีคอมเมิร์ซ พร้อมชิงงานโครงการหวังสร้างความยั่งยืนระยะยาว

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 19, 2018 10:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ชิค รีพับบลิค (CHIC) พร้อมเดินหน้าลุยขยายทุกช่องทางขาย เพิ่มสาขาหัวเมืองใหญ่หวังกวาดลูกค้าต่างจังหวัด และประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันมองหาโอกาสบุกตลาดต่างประเทศเพิ่มทั้งใน CLMV และนอกกลุ่มหลังประเดิมเปิดสาขากัมพูชาเป็นสาขาแรกได้ผลตอบรับดีกว่าคาด ดันรายได้หลักจากการขายหน้าร้าน พร้อมโดดชิงงานโครงการเพิ่มเพื่อสร้างรายได้ล็อตใหญ่ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสต็อก เปิดช่องทางขายออนไลน์สร้างการรับรู้ในแบรนด์

นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ ของ CHIC เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 360 ล้านหุ้นภายในปีนี้เพื่อนำเงินส่วนใหญ่มาขยายสาขา CHIC Republic โดยตั้งเป้าอย่างน้อย 5 สาขาภายใน 5 ปี ตั้งงบลงทุนเฉลี่ย 250 ล้านบาทต่อสาขา

สำหรับสาขาที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ได้แก่ 1) สาขา Aeon Mall 2 Sen Sok City ประเทศกัมพูชา ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 บนพื้นที่ 3,500 ตารางเมตร งบลงทุน 30 ล้านบาท ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 2) สาขารามอินทรา งบลงทุน 250 ล้านบาทได้รับสัญญาเช่าที่ดินแล้ว อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงสร้างหลัก คาดว่าจะเปิดให้บริการในครึ่งหลังปี 62 และ 3) สาขาอุดรธานี งบลงทุน 196 ล้านบาท ได้รับอนุมัติการก่อสร้างแล้วสัญญาเช่าที่ดิน 30 ปี คาดเปิดให้บริการปี 63

บริษัทยังมองโอกาสที่จะเปิดสาขาเพิ่มในหัวเมืองใหญ่ ทั้งภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ อยู่ระหว่างการมองหาที่ดิน และภาคใต้ เช่น ภูเก็ต หรือ หาดใหญ่ เป็นต้น และมองตลาดในภูมิภาค CLMV เพิ่มเติมด้วย

นายกิจจา กล่าวอีกว่า สำหรับการขยายสาขาในต่างประเทศนั้น บริษัทเริ่มต้นจากกรุงพนมเปญของกัมพูชาเป็นสาขาแรก ถือว่าสามารถทำได้เร็วกว่าแผน เนื่องจากบริษัทศึกษาโอกาสการขยายตลาดต่างประเทศมากว่า 3-4 ปีแล้ว และมองเห็นศักยภาพของกัมพูชา โดยเฉพาะในกรุงพนมเปญเป็นแหล่งธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ รวมทั้งผู้บริโภคก็มีพฤติกรรมใกล้เคียงคนไทย ทั้งการสร้างที่อยู่อาศัยรวมถึงวิถีชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งทำให้บริษัทมองเห็นกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน

อย่างไรก็ดี บริษัทมองว่าการเข้าไปทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ในกัมพูชาถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก เนื่องจากบริษัทได้เข้าไปเปิดสาขาที่มีการให้บริการแบบครบวงจร ทำให้เกิดความแตกต่างจากผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ในพื้นที่ และบริษัทมีการประเมินว่ามีการแข่งขันที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่อยู่ในกลุ่ม "Blue Ocean"

ประโยชน์ที่ได้ต่อมาจากการขยายสาขาไปยังกัมพูชาคือ บริษัทได้มีประสบการณ์การเรียนรู้ในการทำตลาดต่างประเทศ หากประสบความสำเร็จจะเป็นบันไดขั้นต้นให้ขยายสู่ประเทศถัดไป รวมถึงบริษัทมองโอกาสในการได้รับงานโครงการในกัมพูชามากขึ้นด้วย ซึ่งจะทำให้การเติบโตของบริษัทจะเป็นไปอย่างควบคู่กันในหลาย ๆ ด้าน

"เราพบว่าตลาดกำลังเริ่มต้น คนค้าขายเขาไม่มีการสร้างแบรนด์ เป็นห้องแถวที่รับสินค้ามาขาย ไม่มีแบรนด์ชัดเจน ไม่มีจัดเซ็ตติ้งและการตลาด เราไปลักษณะสเกลใหญ่ จริง ๆ คนกัมพูชาก็มาซื้อเราที่บางนาเยอะ และใส่คอนเทนเนอร์ไป และมีดีไซน์เนอร์ก็เอาไปติดตั้งที่โน่น ตลาดกัมพูชาโอกาสเยอะมากที่จะเกิดและแบรนด์สร้างไม่ยาก"นายกิจจา กล่าว

นายกิจจา กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยปีละ 20% จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้ในประเทศของบริษัทแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.รายได้ค้าปลีกหน้าร้าน (retail) ภายใต้แบรนด์ของบริษัท คือ "CHIC" และ "RINA HEY" ซึ่งมีสินค้าประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้าน และสินค้าที่บริษัทร่วมบริหารกับคู่ค้า (CONSIGNMENT) โดยใช้แบรนด์ของเจ้าของตราสินค้าเป็นสินค้าที่บริษัทขายร่วมกับเจ้าของตราสินค้า

บริษัทมีการสร้างอาคารแบบ stand alone ของตัวเอง และมีการออกแบบเองทั้งหมด ทำให้สามารถทำกิจกรรมทางการตลาดและการสร้างแบรนด์ได้อย่างคล่องตัวและแข็งขัน (aggressive) ซึ่งสินค้าที่วางขายหน้าร้านจะเน้นความครบวงจรที่เกี่ยวกับบ้านใหม่ คิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 60%

2.รายได้จากงานโครงการ ซึ่งเป็นการขายสินค้าเฟอร์นิเจอร์พร้อมติดตั้งให้กับโครงการต่าง ๆ ในลักษณะเฟอร์นิเจอร์แบบติดผนัง (Built in) และเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว (Loose Furniture) และสินค้าตกแต่งบ้านให้กับโครงการห้องชุด คอนโดมิเนียม โครงการบ้านจัดสรร จากลูกค้าหลักที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 10 รายแรกที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและมีแผนการขยายโครงการต่อเนื่องทุกปี ซึ่งรายได้จากงานโครงการคิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 25-30%

ขณะเดียวกัน บริษัทคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีจะเตรียมเข้าประมูลงานโครงการอีกมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาโอกาสการได้งานของบริษัทอยู่ที่ระดับ 50% ซึ่งจะทำให้ปริมาณงานในมืออยู่ในระดับสูงและสามารถสร้างความมั่นคงของรายได้ จากปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) จำนวน 156 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้จนถึงปี 63 นอกจากนั้นยังช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

และ 3.รายได้จากการให้บริการพื้นที่เช่าสำหรับร้านค้าเช่า โดยเป็นการแบ่งพื้นที่ที่มีอยู่ราว 1-1.4 หมื่นตารางเมตรภายในสาขา สำหรับร้านค้าเช่าต่าง ๆ เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่เข้ามาเลือกสรรสินค้าภายในโฮมแฟชั่นสโตร์ของ CHIC และ RINA HEY โดยจะมีการแบ่งผลประโยชน์ทั้งแบบ revenue shring ซึ่งมีข้อดีคือจะมีการเติบโตตามรายได้ของลูกค้า และการเก็บค่าเช่า ซึ่งจะทำให้มีรายได้อย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการทำการตลาดออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม e-commerce หรือ O2O Marketing ซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วในช่วงไตรมาส 2/61 ภายใต้สินค้าแบรนด์รีน่าเฮ โดยมองว่าตลาดมีกำลังซื้อที่ค่อนข้างดีและเริ่มมียอดขายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าชิ้นเล็ก ราคาไม่แพง และขนส่งสะดวก รวมไปถึงมียอดขายจากกลุ่มลูกค้าเดิมที่ซื้อซ้ำ เนื่องจากมีความสะดวก ประกอบกับมองว่าช่องทางออนไลน์เป็นการสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพในต้นทุนที่ต่ำ ส่งผลให้มีกลุ่มลูกค้าที่สินใจสินค้าเข้ามาดูสินค้าจริงในสาขาด้วย

นายกิจจา กล่าวอีกว่า สำหรับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง จากที่ผ่านมามีอัตรากำไรขั้นต้นราว 60-70% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม จากการที่บริษัทมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ในกลุ่มตลาดบน-กลาง โดยในแต่ละปีมีการวางงบเพื่อการทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) จากทีมงานดีไซน์เนอร์ ในการออกสินค้าคอลเล็คชั่นใหม่ทุก 3-4 เดือน เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบสินค้า ส่งผลให้บริษัทสามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันเชิงตัดราคาได้

และนอกจากนั้น บริษัทยังมีพันธมิตรในธุรกิจหลายกลุ่มธุรกิจ ซึ่งในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) โดยเฉพาะคู่ค้าที่เป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่มีแข็งแกร่ง จะสามารถทำราคาสินค้าได้ดีและสามารถแข่งขันได้ ภายใต้คุณภาพสินค้าที่ดี ส่งผลให้บริษัทที่เป็นผู้ค้าปลีกสามารถทำผลกำไรได้

นายกิจจา กล่าวว่า บริษัทมองว่าตลาดเฟอร์นิเจอร์จะเติบโตตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจากที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม อีกทั้งในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากการที่รัฐบาลลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคและรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ทำให้เชื่อว่าจะมีการลงทุนเชิงที่อยู่อาศัยใหม่มากขึ้นราว 5-10 แห่งในพื้นที่รัศมี 1 กิโลเมตรโดยรอบสถานีรถไฟฟ้า 1 สถานี เมื่อมองถึงภาพรวมแล้วจึงมั่นใจว่าจะเติบโตอย่างแน่นอน

"ในแง่ของธุรกิจเรา เราทำอะไรเรามองความยั่งยืน เรามองอะไรที่ระยะยาว เพราะฉะนั้นการลงทุนของเราจะวางแผนไว้ล่วงหน้าทั้งหมด ผมเชื่อว่าธุรกิจถ้าดำเนินด้วยยอดขายและผลกำไรที่ดี แน่นอนตามมาคือผลตอบแทนนักลงทุนก็จะดี..การเป็นที่ 1 ของ segment จะยั่งยืนกว่า และเชื่อว่าวิสัยทัศน์ที่วางไว้เป็นการตอบโจทย์องค์กรและนักลงทุน" นายกิจจากล่าว

https://youtu.be/P64J0Paa_X4


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ