นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด ในฐานะผู้จัดการทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่าสตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้ (SHREIT) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อยู่ระหว่างการพิจารณาคำขออนุมัติเพิ่มทุน SHREIT ไม่เกิน 415 ล้านหน่วยและกู้ยืมเงินไม่เกินประมาณ 67.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,363 ล้านบาท
ทั้งนี้ เพื่อลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์ประเภทโรงแรมในภูมิภาคอาเซียนอีก 2 แห่ง ได้แก่ 1.) การลงทุนในสิทธิการเช่าโรงแรม Sofitel Bali Nusa Dua Beach Resort บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว จำนวนห้องพักรวม 398 ห้อง และบ้านพักวิลล่าจำนวน 17 หลัง และมีศักยภาพที่สามารถรองรับการประชุมระดับนานาชาติ เช่น APEC และ IMF
และ 2.) การลงทุนกรรมสิทธิ์ในโครงการโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่ตั้งอยู่ในเขต Chow Kit บริเวณใกล้กับ Kuala Lumpur City Centre (KLCC) ซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยโรงแรมดังกล่าว มีห้องพักรวม 532 ห้อง มาตรฐานระดับ 4 ดาว ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารโดย Hilton ที่เป็นแบรนด์นานาชาติแห่งเดียวในย่านนั้น ซึ่งจะส่งเสริมการเติบโตที่ดีของกองทรัสต์ SHREIT ได้อย่างต่อเนื่อง
นายเจมส์ เทิค เบง ลิม กรรมการบริหาร บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด กล่าวว่า ภายหลังจากที่กองทรัสต์ SHREIT เข้าลงทุนเพิ่มเติมแล้วเสร็จ คาดว่าจะมีขนาดมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มสูงกว่า 10,000 ล้านาบาท ซึ่งจะเป็นกองทรัสต์ประเภทโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปัจจุบัน และคาดว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหน่วยที่ดีแก่ผู้ถือหน่วยของกองทรัสต์ได้อย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ สินทรัพย์ที่ SHREIT เข้าลงทุน ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม 3 แห่งในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ 1.โรงแรม Pullman Jakarta Central Park ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 317 ห้อง 2.โรงแรม Capri by Fraser ในเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว โดยมีห้องพักจำนวน 175 ห้อง และ 3.โรงแรม IBIS Saigon South ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว จำนวน 140 ห้อง ในเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม
โรงแรมดังกล่าวเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในประเทศที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และยังอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ เป็นที่นิยมของผู้เข้าพักที่เป็นนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจากทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ โรงแรมดังกล่าวซึ่งเป็นโรงแรมตั้งแต่ระดับ 3-5 ดาว ยังจับกลุ่มลูกค้าเข้าพักที่แตกต่างกัน จึงเป็นการกระจายความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของรายได้จากการมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ดีและหลากหลาย ทำให้สามารถผลักดันการเติบโตทั้งรายได้จากการเข้าพักและรายได้ประเภทอื่นๆ ของโรงแรมได้อย่างมั่นคง