SAAM วางเป้าพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อขายเพิ่มเป็น 100 MW ภายในปี 63 พร้อมรุกหาธุรกิจเกี่ยวเนื่องใหม่หนุนผลงาน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 4, 2019 15:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพดด้วง คงคามี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการบริหาร บมจ.เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ (SAAM) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทฯ ได้วางแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงปี 62-63 จะมุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดกับการดำเนินงานกลุ่มบริษัทฯให้ครบวงจร รองรับการขยายตัวของธุรกิจพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชีย โดยตั้งเป้าหมายภายในปี 63 จะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อจำหน่าย จำนวนรวมทั้งสิ้น 100 เมกะวัตต์ (MW) และจะเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทอื่น ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รวมถึงเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่กลุ่มบริษัทได้พัฒนาไปแล้ว

ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้น ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตอยู่ในมือแล้วประมาณ 40 เมกะวัตต์ และจะต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมอีกจำนวน 60 เมกะวัตต์ หรือราว 7-8 โครงการ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 100 เมกะวัตต์ โดยจะมุ่งเน้นพัฒนาโครงการในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ระหว่างพัฒนาจนเป็นโครงการที่พร้อมก่อสร้างเพื่อส่งมอบให้แก่ลูกค้า ได้แก่ โครงการ SAAM Oita 01 Biomass Power และโครงการ SAAM Oita 02 Biomass Power ปริมาณกำลังการผลิตติดตั้งโครงการละ 19.9 เมกะวัตต์

นอกจากนี้บริษัทฯ ก็มีความสนใจเข้าไปพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศอื่นๆ ที่นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่น โดยได้ศึกษาความเสี่ยงในแต่ละประเทศ (Country Risk) ทำให้มีความสนใจประเทศที่มีพื้นที่สีเขียว หรือเป็นประเทศที่มีมั่นคงทางเศรษฐกิจ และมีนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทนจากภาครัฐในประเทศนั้น ๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน รวมถึงไทยด้วย แต่สำหรับในไทยมองว่าช่วง 2-3 ปีนี้ รัฐบาลได้ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเนื่องจากได้จำนวนเมกะวัตต์มากกว่าที่คาดการณ์ไว้แล้ว ทำให้ประเทศไทยอาจจะยังไม่มีความน่าสนใจในขณะนี้ แต่ทางบริษัทฯ ก็เตรียมความพร้อมไว้อยู่เสมอ

"ในปี 62-63 เรายังมุ่งเน้นการพัฒนาในต่างประเทศที่มีความเสี่ยงในด้าน Country Risk ต่ำก่อน โดยเลือกพัฒนาในโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งแต่ละประเทศอาจจะมีจุดเด่นของรูปแบบพลังงานแตกต่างกันไป เราก็จะมีการวิเคราะห์ในแต่ละประเทศไป ซึ่งเราคงไม่ได้ไปในหลาย ๆ ประเทศ เนื่องจากเราไม่ใช่บริษัทใหญ่ ฉะนั้นเราจึงเลือกประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และเราอาจพัฒนาใน 2-3 ประเทศเท่านั้น"นายพดด้วง กล่าว

นายพดด้วง กล่าวว่า สำหรับโอกาสในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ นั้นพบว่า ณ ปี 60 มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ติดตั้งทั่วโลกอยู่ประมาณ 9.19 แสนเมกะวัตต์ และก็มีนโยบายร่วมกันเพิ่มพลังงานหมุนเวียนในอนาคต ในการใช้พลังงานหมุนเวียนประมาณ 20-25% ของพลังงานทั้งหมด โดยเป้าหมายในปี 83 จะต้องมีพลังงานหมุนเวียนติดตั้งทั้งหมด 2.6 ล้านเมกะวัตต์ ซึ่งหมายความว่ายังมีโอกาสที่จะพัฒนาไปได้อีก 1.7 แสนเมกะวัตต์

พร้อมกันนี้บริษัทฯ ก็ยังมองโอกาสขยายธุรกิจไปในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น การเป็นผู้รับจ้างผลิตวัตถุดิบให้กับโรงไฟฟ้า หรือลงทุนในธุรกิจจัดหาเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้า (เทรดดิ้ง) เพื่อให้ครบวงจรมากขึ้น

สำหรับธุรกิจของ SAAM เริ่มจากการร่วมพัฒนาโครงการกับลูกค้า และได้รับผลตอบแทนจากการจัดหาที่ตั้งให้กับลูกค้า หรือเรียกว่าธุรกิจจัดหาสถานที่ตั้งและให้บริการที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่ทำร่วมกับลูกค้าแล้วอยู่ 17 โครงการ ภายใต้ที่ดินรวมทั้งหมด 750 ไร่ และมีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องตลอด 20-25 ปี ต่อมาได้ขยายธุรกิจ ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 2 เมกะวัตต์ โดยรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ต้นปี 59 และเริ่มดำเนินธุรกิจใหม่ หรือ ธุรกิจการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อจำหน่าย ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับธุรกิจแรก แต่ธุรกิจแรกจะทำร่วมกันกับลูกค้า ขณะที่ธุรกิจใหม่บริษัทฯดำเนินงานเองทุกขั้นตอน ทั้งการลงทุนพัฒนาโครงการฯ และการขอรับใบอนุญาตการสนับสนุนค่าไฟฟ้า

นายพดด้วง กล่าวว่า สำหรับธุรกิจจัดหาสถานที่ตั้งและให้บริการที่เกี่ยวกับภายในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจแรกในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ลักษณะการทำธุรกิจเป็นการดำเนินการร่วมกันกับ บริษัท บางกอกโซลาร์พาวเวอร์ จำกัด (BSP) ซึ่งบริษัทฯ จะเป็นผู้จัดหาที่ดินและสายส่งที่เหมาะสม และ BSP จะมาลงทุนก่อสร้างและดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าในที่ดินของบริษัทฯ โดยจัดเก็บค่าบริการเป็นรายเดือนภายใต้สัญญาระยะยาว 20-25 ปี

ปัจจุบันมีโครงการที่ดำเนินการร่วมกับ BSP จำนวน 17 โครงการ บนพื้นที่ประมาณ 750 ไร่ ซึ่งในปี 62 เป็นต้นไป บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจดังกล่างอย่างต่อเนื่อง ในการเป็นผู้จัดหาที่ดินให้กับโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

"ผมพยายามจะทำงานใน 1 งาน เพื่อให้เกิด 3-4 ธุรกิจ เช่น ธุรกิจที่ 1 ที่จะเกิดจากงานงานเดียว คือ การพัฒนาโครงการฯเอง ซึ่งผมได้รับสิทธิใบอนุญาตขายไฟฟ้า หรือ PPA และจำหน่ายไปก่อน ทำให้ผมมีกำไรจากการจำหน่าย และนำกำไรนี้ไปซื้อที่ดินจากก่อนหน้านี้ที่ไปจับจองสิทธิไว้ เพื่อให้คนที่จะลงทุนมาลงทุนบนที่ดินผม ซึ่งใบ PPA ที่ผูกกับที่ดินผม ทำให้ไม่สามารถทำบนที่ดินแปลงอื่นได้ เพราะฉะนั้นผมจะได้ธุรกิจที่ 2 คือ ธุรกิจจัดหาสถานที่ตั้งและให้บริการ เขาจะมาลงทุนบนที่ดินผม ผมก็จะเก็บค่าเช่าไป และธุรกิจที่ 3 บางโรงไฟฟ้าที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวมวล เขาจะต้องซื้อเชื้อเพลิง เราก็จะขอสิทธิในการจัดหาและจัดส่งเชื้อเพลิงให้เขา และธุรกิจที่ 4 เรามีสิทธิขอซื้อหุ้น ในสัดส่วนที่เล็กน้อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ต้องดูว่าอันไหนที่มีผลตอบแทนจากการลงทุนดีที่สุด ซึ่งธุรกิจที่ผมชอบทำมากที่สุด คือ 1 และ 2 หรือ 3 บ้าง เนื่องจากได้มาร์จิ้นดี"นายพดด้วง กล่าว

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 62 บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจจัดหาสถานที่ตั้งและให้บริการฯ และการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ กำลังการผลิต 2 เมกะวัตต์ รวมถึงการรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ ธุรกิจพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อจำหน่าย ที่คาดจะส่งมอบงานให้กับลูกค้าและรับรู้รายได้ในช่วงปลายปีนี้ ขณะเดียวกันก็คาดหวังว่าอัตรากำไรสุทธิ ปี 62 จะกลับมาอยู่ในระดับเดิม เหมือนกับในปี 59 ที่อยู่ที่ 41.8% จากปี 60 ที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 26% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายจากการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 61 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 33% แล้ว และเชื่อว่าจะกลับขึ้นในอยู่ในระดับดังกล่าวได้ จากไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแล้ว และจะพยายามรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านๆมา หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 73%

นายพดด้วง กล่าวต่อว่า สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 7 ม.ค.62 อยากให้นักลงทุนมั่นใจถึงแผนธุรกิจของบริษัทฯ ที่ไม่เหมือนใคร หรือเรียกว่าเป็น Passive income อย่างแท้จริง ซึ่งมองว่าในตลาดหลักทรัพย์ฯ น้อยรายที่จะเป็นแบบนี้ และธุรกิจลักษณะนี้ก็จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการพัฒนาโครงการฯ เพื่อจำหน่าย และนำกลับมาซื้อที่ดิน โดยมีการผูกขาดการให้เช่าที่ดินเป็นสัญญาระยะยาว 20-25 ปี ทำให้ไม่เกิดความเสี่ยง มีรายได้และกำไรที่แน่นอน ซึ่งส่งผลให้ SAAM เป็นบริษัทฯที่มีพื้นฐานที่ดี มีโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจ

"ผมมีความมั่นใจว่าธุรกิจเราเป็นธุรกิจที่มันไม่เหมือนใคร คือของเราพยายามจะมุ่งเน้นว่าเรามีรายได้จากการเป็น Passive income เรามีรายได้ที่แน่นอนไปตลอด 20-25 ปี และตอนนี้ผมมี Passive income อยู่แล้ว 17 โครงการ ต่อไปผมจะมี Passive income โครงการที่ 18, 19 และ 20 ต่อไปเรื่อย ๆ ผมก็จะมีรายได้และกำไรที่แน่นอนไปตลอด 20 ปี ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่เรามั่นใจว่าตัวธุรกิจโมเดลเราค่อนข้างไม่เหมือนใคร และเรามั่นใจว่าบริษัทฯเราสามารถเดินตามแผนของเราได้"นายพดด้วง กล่าว

https://youtu.be/-nKtSNyaKtQ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ