นายนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในปี 62 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมจะเติบโต 10% จากปีก่อน โดยจะมุ่งเน้นการทำการตลาดไปยัง Mobile Marketing เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและไลฟสไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามนโยบาย MAJOR 5.0 คือ ทุกขั้นตอนการทำงานต้องเป็นดิจิทัลทั้งหมด ทุกอย่างต้องอยู่ในมือถือ จึงปรับตัวกันอยู่ตลอดเวลา รวดเร็ว ไม่หยุดนิ่ง และพยายามเข้าใจเทคโนโลยีและใช้ให้เกิดประโยชน์
"ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกปี การทำการตลาดก็ต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงไปกับลูกค้า เราต้องมีอะไรใหม่ ๆ เปลี่ยนโฉมใหม่รองรับการใช้บริการของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันเรามีแอพพลิเคชั่น Major Movie Plus ก็มีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆอยู่ตลอด เช่น เพิ่มช่องทางการจองตั๋วหนังและการชำระเงินออนไลน์ ได้แก่ Facebook Ticketing, Major Chat Bot, Merchants Ticketing, QR Payment, Pay by Points และ Major Quick Payment ส่งผลให้ช่องทางการซื้อตั๋วหนังออนไลน์เติบโตขึ้น"นายนรุตม์ กล่าวว่า บริษัททุ่มงบลงทุน 30 ล้านบาท พัฒนาเทคโนโลยีที่มีความล้ำสมัยเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเตรียมเปิดให้บริการแอพพลิเคชั่นใหม่ "Super App" ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นแรกของธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่นำระบบ AI เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะทำให้การดูภาพยนตร์เป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็ว สามารถเข้าใจ เข้าถึงพฤติกรรมลูกค้าผู้ใช้งาน คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนมี.ค.นี้ โดยตั้งเป้าจะมียอดดาวน์โหลดเพิ่มอีก 5 ล้านดาวน์โหลด จากปีก่อนที่มียอดการดาวน์โหลดของแอพพลิเคชั่นเวอร์ชั่นแรกอยู่ที่ 10 ล้านดาวน์โหลด และคาดมีจำนวนลูกค้าใช้บริการซื้อตั๋วภาพยนตร์ผ่านทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 20% หรือคิดเป็น 7.8 ล้านใบของเป้าหมายการซื้อตั๋วภาพยนตร์ในภาพรวมที่คาดจะอยู่ที่ 39.4 ล้านใบในปี 62 จากปีก่อนที่มีสัดส่วนการซื้อตั๋วภาพยนตร์ทางออนไลน์ 5-8% หรือคิดเป็น 2.5 ล้านใบ
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าในปี 62 จะมีสัดส่วนการซื้อตั๋วผ่านทางออนไลน์เพิ่มเป็น 20% และผ่านทางตู้อัตโนมัติ 75% ,ทาง Box Office 5% และหน้าเคาน์เตอร์ 5% โดยในปี 64 คาดว่าสัดส่วนการซื้อตั๋วผ่านทางออนไลน์จะขยับเพิ่มเป็น 50% ได้
สำหรับแอพพลิเคชั่นใหม่ดังกล่าว ได้ "เอ็มเทล" ผู้ให้บริการด้าน Digital Solution Provider อันดับหนึ่งจากประเทศฮ่องกง มาร่วมพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ให้เป็น SmartApplication โดยจะเชื่อมโยงบริการและประสบการณ์ด้านภาพยนตร์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน ตั้งแต่บริการด้านโรงภาพยนตร์ ในการค้นหาข้อมูลภาพยนตร์ ตลอดจนการทำรายการซื้อบัตรชมภาพยนตร์และการมาใช้บริการที่โรงภาพยนตร์ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมเพื่อเพิ่มความสนุกในการใช้งาน โปรโมชั่น และข้อเสนอพิเศษ รวมถึงระบบสมาชิกที่มีสิทธิประโยชน์ และการแลกรับของรางวัลต่างๆ ที่ผู้ใช้งานสามารถจัดการได้ด้วยตัวเองภายในแอพพลิเคชั่น
นายนรุตม์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายให้แอพพลิเคชั่นดังกล่าวเป็นต้นแบบในการพัฒนาให้กับโรงภาพยนตร์ในประเทศต่างๆ โดยปัจจุบันก็อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ในต่างประเทศ เช่น จีน และอินเดีย ราว 3-4 ราย ในการเข้าไปพัฒนาแอพพลิเคชั่น ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทร่วมทุน บริษัท เอ็มเทล ( ประเทศไทย) จำกัด โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 70% และเอ็มเทล โซลูชั่นส์ ถือหุ้น 30% เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่น ซึ่งถือเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่น่าจะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ