นายจักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทเตรียมงบลงทุนราว 3 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพาจูในเกาหลีใต้ ประมาณ 22,650 ล้านบาท และใช้ลงทุนต่อเนื่องใน 3 โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โรงไฟฟ้าไซยะบุรีใน สปป.ลาว 850 ล้านบาท โรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูราในฟิลิปปินส์ 4 พันล้านบาท และโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ในสปป.ลาว 2.5 พันล้านบาท
ทั้งนี้ งบลงทุนดังกล่าวยังไม่นับรวมโครงการใหม่ที่จะเข้าลงทุนในอนาคต และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โดยโครงการใหม่ที่จะเข้าไปลงทุนและโครงการที่อยุ่ระหว่างการพัฒนา 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า กวางจิ ประเทศเวียดนาม และ โรงไฟฟ้า สตาร์ เอ็นเนอร์ยี่ ส่วนต่อขยายในอินโดนีเซีย
กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนโรงไฟฟ้า 2 แห่งในเอเชียแปซิฟิค เป็นโครงการพลังงานหมุนเวียน และโรงไฟฟ้าใช้ฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิง โดยเป็นโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว และโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะใช้เวลา 4-5 ปีก่อสร้าง คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ โดยบริษัทมีความพร้อมเงินลงทุนที่มีกระแสแงินสดอยู่ 1.5 หมื่นล้านบาท และยังสามารถเพิ่มเพดานเงินกู้ได้ เนื่องจากบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) 1.05 เท่า ซึ่งสามารถเพิ่มได้ถึง 3 เท่า
นอกจากนี้ บริษัทร่วมมือกับบริษัท เอสเค อีแอนด์เอส จำกัด ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ LNG โดยอยู่ระหว่างจัดเตรียมทำสัญญาคาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาความร่วมมือธุรกิจนำเข้า LNG ภายในไตรมาส 1/62 หรือ มี.ค.62 จากก่อนหน้านี้ทำทำข้อตกลงกัน (MOU) โดยบริษัทมองเป็นโอกาสทำธุรกิจ LNG ที่ตลาดในประเทศยังมีความต้องการสูง ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)เป็นหน่วยงานที่มีความต้องการสูง ซึ่ง EGCO เป็นบริษัทย่อยของ กฟผ.
ทั้งนี้ บริษัทมุ่งขยายการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก โดยจะต่อยอดธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนที่มีฐานอยู่แล้ว ได้แก่ สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่น ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น เกาหลีใต้ เป็นต้น ส่วนการลงทุนในประเทศไทย EGCO มีความพร้อมลงทุนตามนโยบายของภาครัฐและแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ฉบับใหม่ (PDP 2018) โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) บริษัทมีความพร้อมที่จะเข้าแข่งขันประมูลในทุกพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นภาคตะวันตก ภาคใต้ และภาคตะวันตก
นายจักษ์กริช กล่าวว่า แนวโน้มสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้าในต่างประเทศจะเพิ่มสูงขึ้นให้ได้ใกล้เคียงกับโรงไฟฟ้าในประเทศ สัดส่วน 50/50 จากปัจจุบัน มีสัดส่วนในประเทศ 60.88% และต่างประเทศ 39.12% มาจากเกาหลีใต้ 17.33% ฟิลิปปินส์ 10.80% สปป.ลาว 8.79% อินโดนีเซีย 4.11% และ ออสเตรเลีย 2.66%
*กำไรปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน
นายดนุชา สิมะเสถียร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงิน EGCO คาดว่า กำไรปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ)ในปี 62 จะใกล้เคียงปีก่อนที่มีกำไรปกติ 9,195 ล้านบาท (ไม่รวมรายการพิเศษ) เนื่องจากบริษัทได้ขายโรงไฟฟ้ามาซินลอค ประเทศฟิลิปปินส์ออกไปที่มีขนาดกำลังผลิต แม้จะซื้อโรงไฟฟ้าพาจูในเกาหลีใต้เข้ามาแทน แต่ค่าไฟของโรงไฟฟ้าพาจูที่ได้รับต่ำกว่าโรงไฟฟ้ามาซินลอค
อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 4/62 จะมีโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ในสปป.ลาว เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) มีกำลังผลิต 1,280 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 12.5%) มีความก้าวหน้างานก่อสร้าง 97.45% และ โรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา ในฟิลิปปินส์ กำลังการผลิต 455 เมกะวัตต์ (ถือ 49%) งานก่อสร้างก้าวหน้า 97.38%
ด้านนายกัมปนาท บำรุงกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานกลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ ECGO กล่าวว่า บริษัทมุ่งเน้นการสร้างกำไร โดยมองในระยะยาว 4-5 ปี (เริ่มปี 63) คาดจะมีอัตราเติบโตของกำไรเฉลี่ยปีละ 5-6% โดยเติบโตจากโครงการโรงไฟฟ้าเข้ามาเพิ่ม
"กลยุทธ์ของบริษัท ไม่ได้ดูแต่เมกะวัตต์ที่เพิ่มขึ้น เราดุผลกำไรเป็นหลัก เรามองการเติบโตเฉลี่ย 5-6 ปีต่อปี เรามีทั้งสินทรัพย์ มีการซือขายสินทรัพย์ ทั้งซื้อโครงการที่ทำแล้วก็จะมีรายได้ทันที"นายดนุชา กล่าว
EGCO มีโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วจาก 27 โรงไฟฟ้า 6 ประเทศ จำนวนรวม 5,154 เมกะวัตต์ และในไตรมาส 4/62 จะเพิ่มเข้ามา 383 เมกะวัตต์ ทำให้สิ้นปี 62 จะมีกำลังการผลิต 5,537 เมกะวัตต์ และในปี 65 โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ในสปป.ลาว จะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 65 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 5,698 เมกะวัตต์
นายกัมปนาท กล่าวถึงโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 ที่บริษัทเข้าซื้อเอกสารแต่ไม่ได้ยื่นข้อเสนอว่า บริษัทได้พิจารณาแล้ว โดยรวมมีความเสี่ยงหลายประการ เป็นความเสี่ยงที่ยังไม่เหมาะสม อาทิ ระยะเวลา และไม่คุ้มการลงทุน เป็นต้น