ทิสโก้ มอง SET หลังเลือกตั้งยังมีโอกาสฟื้น ให้กรอบปีนี้ 1,750-1,800 จุด แม้คาดรัฐบาลใหม่ยังเสี่ยงเรื่องเสถียรภาพ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 25, 2019 16:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งของไทยออกมาไม่เป็นไปตามคาด เพราะเดิมคาดว่าพรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงทิ้งห่างพรรคอื่น ๆ ค่อนข้างมาก แต่ผลที่ออกมาอย่างไม่เป็นทางการ พรรคพลังประชารัฐได้จำนวนสมาชิกสภาพผู้แทนราษฎร (ส.ส.) น้อยกว่าพรรคเพื่อไทยเพียงเล็กน้อย และยังได้คะแนนเสียงรวมสูงที่สุด และต่อมาคือพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงที่ต่ำมาก ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ส่งผลต่อภาพรวมการลงทุน เพราะขณะนี้คะแนนเสียงที่พรรคพลังประชารัฐได้มีจำนวนมากพอที่จะมีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมได้เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นทางเลือกที่สามอย่างที่เคยคาดไว้

ดังนั้น ผลการเลือกตั้งที่ออกมาจึงทำให้ภาพชัดเจนขึ้น นั่นก็คือเหลือเพียง 2 ขั้วการเมืองที่มีโอกาสเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ที่อาจจะยังสร้างความกังวลให้ตลาด คือทั้งสองพรรคใหญ่มีคะแนนเสียงที่ใกล้กันมาก แม้พรรคพลังประชารัฐจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ถ้าเป็นรัฐบาลที่มีเสียงเกินครึ่งเพียงเล็กน้อย ก็มีความเสี่ยงในเรื่องของเสถียรภาพทางการเมืองได้ในอนาคต

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในเรื่องนโยบายของแต่ละพรรค พบว่านโยบายมีความใกล้เคียงกัน ซึ่งนโยบายส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน รวมไปถึงการเดินหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น เมื่อมองภาพใหญ่แล้ว ไม่ว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลก็ไม่น่ามีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจให้ปรับเพิ่มขึ้นแรงมาก หรือตกต่ำมากแต่อย่างใด อีกทั้ง เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเปิดที่ 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อิงกับภาคต่างประเทศ คือการท่องเที่ยวและการส่งออก ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเข้ามาบริหารประเทศในปีนี้เศรษฐกิจไทยก็ไม่น่าจะขยายตัวเกิน 4%

โดยทิสโก้คาดว่าปี 2562 เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.5% ปรับลดลงจากคาดการณ์เดิม เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่ภาคการส่งออกไม่ได้เติบโตมากนัก เช่นเดียวกับภาคการท่องเที่ยวเติบโตไม่มากนักเช่นกัน เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีน เหลือแต่เศรษฐกิจในประเทศหากรัฐบาลเข้ามาสร้างความมั่นใจได้ทันทีจะทำให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศฟื้นได้ ต่างจากปี 2561 ที่เศรษฐกิจไทยเติบโตดีที่สุดอีกปีหนึ่ง เนื่องจากกลจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกตัวทำงานได้ดีทั้งหมด

แต่ข้อดีสำหรับปีถัดไป คือ ธนาคารกลางต่างๆ ของโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษ และจีน ออกมาให้ความเห็นเหมือนกันทั้งหมดว่าเริ่มผ่อนคลายนโยบายทางการเงินและพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหากมีความจำเป็น น่าจะสร้างแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้ในปีหน้า ส่วนไทยขึ้นอยู่กับรัฐบาลของไทยในการบริหารประเทศให้มีเสถียรภาพ เดินหน้าโครงการต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยไปต่อได้อีก

"สำคัญที่สุดอยู่ที่เสถียรภาพของรัฐบาล เพราะ 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลมีเอกภาพมาก เนื่องจากรัฐบาลเป็นพรรคเดียวและไม่มีฝ่ายค้าน แต่ 4 ปีจากนี้จะไม่ง่ายเหมือนเดิม โดยเฉพาะหากฝ่ายค้านมีเสียงจำนวนมาก แม้ว่าจะมีเสียงน้อยกว่ารัฐบาล แต่ถ้าน้อยกว่าไม่มากนักรัฐบาลก็อาจจะผลักดันโยบายสำคัญๆ ได้ไม่ง่ายนัก" นายไพบูลย์กล่าว

สำหรับการเมืองไทยในขณะนี้ต้องจับตาดูว่าพรรคใดจะได้จัดตั้งรัฐบาล หากเป็นพรรคพลังประชารัฐจริงก็จะมีข้อดี คือจะมีความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย และพรรคอันดับที่ 2 ที่จะมาร่วมรัฐบาลด้วยนั้นมีเสียงค่อนข้างทิ้งห่างพอสมควร ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐน่าจะมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ส่วนพรรคอื่นก็อาจได้รับมอบหมายดูแลประเทศด้านอื่นไป อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ยังต้องติดตามเรื่องความวุ่นวาย และเสถียรภาพของประเทศว่าจะเป็นอย่างไร รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจได้อย่างมีเสถียรภาพหรือไม่

นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า สำหรับมุมมองนักลงทุนต่างชาตินั้น จากเดิมที่กล่าวไว้ว่าหากการเลือกตั้งสงบเรียบร้อย มีเสถียรภาพ เงินต่างชาติน่าจะไหลเข้า 1 แสนล้านบาท ซึ่งคำว่าเสถียรภาพที่กล่าวไว้คือรัฐบาลต้องมีเสียงเกิน 300 ที่นั่งขึ้นไป เพราะเป็นที่นั่งที่เกินครึ่งมาพอสมควร และฝ่ายค้านก็จะห่างจากครึ่งไปพอสมควร หากจำนวนที่นั่งใกล้กันมากอาจเริ่มมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพ เพราะต้องกังวลเรื่องการวอล์คเอ้าท์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคร่วมรัฐบาล หรือองค์ประชุมไม่พอ

"นักลงทุนต่างประเทศไม่ค่อยสนใจว่ารัฐบาลจะมาจากพรรคไหน แต่จะให้ความสำคัญกับ 1. รัฐบาลมีเสถียรภาพหรือไม่ 2. นโยบายเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร รัฐมนตรีเศรษฐกิจมีคุณภาพขนาดไหน 3. ความต่อเนื่องของนโยบายขนาดใหญ่ เช่น อีอีซี ถ้าตอบโจทย์ในเชิงบวกได้ทั้งหมด เงินทุนต่างชาติก็จะไหลเข้าอย่างเต็มที่ อีกทั้งปัจจุบันอัตราการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำด้วย"นายไพบูลย์กล่าว

สำหรับการลงทุนในหุ้นไทยจากนี้นั้น ประเมินว่าหุ้นไทยยังลงทุนได้เนื่องจากราคายังไม่แพง และมองว่าหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะเศรษฐกิจยังโตต่อได้และแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคเอกชน โครงการขนาดใหญ่ของรัฐยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ เช่น ธนาคารพาณิชย์ที่จะได้อานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ

ส่วนดัชนีหุ้นไทยปี 2562 ประเมินไว้ที่ 1,750 -1,800 จุด นอกจากนี้ ยังมองว่าหุ้นทั่วโลกในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากแรงกดดันด้านอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มหายไป เพราะธนาคารกลางต่าง ๆ เริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวได้

"ตอนนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่หุ้นจะลงเยอะๆ แต่ก็ยังต้องจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งจากการติดตามและประเมินแล้วคาดว่าจะจบลงด้วยดี อีกเรื่องคือ อังกฤษออกจากยุโรป แต่เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาของอังกฤษเท่านั้น สำหรับประเทศไทยก็ต้องรอดูฟอร์มทีมรัฐบาลให้เรียบร้อยก่อน ส่วนตัวยังยืนยันว่าตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นมากกว่าฟุบ และยังลงทุนได้" นายไพบูลย์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ