นายสุรินทร์ ประสิทธิ์หิรัญ กรรมการผู้จัดการ บมจ.โรงพยาบาลราชธานี (RJH) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,611.05 ล้านบาท จากการขยายพื้นที่ห้องตรวจกระดูกและศัลยกรรมจำนวนรวม 4 ห้อง จากเดิมที่อยู่รวมกันในห้องฉุกเฉิน โดยนำส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องย้ายไปที่อื่น เพื่อขยายพื้นที่รักษาผู้ป่วยนอกและเพิ่มพื้นที่ห้องฉุกเฉิน
อีกทั้งยังเตรียมเปิดห้องตรวจโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke Unit) เพิ่มอีก และเริ่มให้บริการรับคนไข้โรคหัวใจส่งต่อจากเขตอื่น โดยคิดค่าใช้จ่ายในอัตราเดียวกันกับภายในเขต ซึ่งจะเริ่มได้ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ เป็นต้นไป คาดหวังจะมีผู้ป่วยโรคหัวใจเพิ่มอีก 200-250 ราย ทั้งนี้ บริษัทจะแนะนำคนไข้ผ่าตัดด้วยกล้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา รวมถึงจะบริหารจัดการเวลาห้องผ่าตัดให้กับหมอ เพื่อให้ผู้ป่วยที่รอการผ่าตัดไม่ต้องรอนาน
ปีนี้เราได้วางแผนเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าสิทธิทั่วไป (OPD) จากการขยายพื้นที่ตรวจให้มากขึ้น โดยย้ายผู้ป่วยประกันสังคมไปอยู่อาคารอื่น ซึ่งขณะนี้ก็มีการดำเนินการไปแล้ว 90% ขณะเดียวกันก็จะมีการรับตรวจให้เร็วขึ้น เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยรอนาน"นายสุรินทร์
ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างโรงพยาบาลราชธานี 2 ในพื้นที่ใกล้เคียงโรงพยาบาลราชธานี 1 เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยประกันสังคม ขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุญาตผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างภายใน 3 ปี หรือเปิดให้บริการได้ในปี 64 วางงบลงทุนที่ 500 ล้านบาท ขนาด 120 เตียง คาดหวังจะมีผู้ป่วยประกันสังคมเพิ่มอีก 1 แสนราย จากปัจจุบันมีผู้ป่วยประกันสังคม แบ่งเป็น โรงพยาบาลราชธานี จำนวน 1.6 แสนราย และโรงพยาบาลโรจนะ จำนวน 30,000 ราย
สำหรับธุรกิจให้บริการรถตวรจสุขภาพเคลื่อนที่ หรือรถเช็คอัพ ปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโตเป็นเท่าตัว จากปีก่อนที่เริ่มให้บริการในช่วงครึ่งปีหลัง และมีรายได้อยู่ที่ 18 ล้านบาท โดยบริษัททำการตลาดมากขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างรอดูช่วงไตรมาส 3 ของทุกปี ที่ถือว่าเป็นช่วงฤดูกาลตรวจสุขภาพ หากได้รับการตอบรับที่ดีก็อาจพิจารณาซื้อรถเข้ามาเพิ่ม จากปัจจุบันที่มีเพียง 1 คัน
นายสุรินทร์ เปิดเผยอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการโรงพยาบาล (M&A) อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ มากขึ้น แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นความชัดเจน
ด้านแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/62 คาดว่าจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/61 เนื่องจากมีจำนวนผู้ป่วยในเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น