BANPU ประกาศกลยุทธ์ 7 ปีขึ้นชั้นผู้นำเทคโนโลยีพลังงานของเอเชีย ปรับพอร์ตลดธุรกิจถ่านหินสร้างกระแสเงินสดมั่นคง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 28, 2019 10:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) กล่าวว่า บริษัทวางเป้าหมายการเป็นบริษัทชั้นนำด้านพลังงานอย่างครบวงจรภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter โดยเน้นกลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน (Energy Generation) ที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน (Renewable) ซึ่งในญี่ปุ่นวางเป้าหมายเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ (MW) และเตรียมสรุปดีลโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ขนาด 400 เมกะวัตต์ในเวียดนามในช่วงไตรมาส 2/62 ส่วนธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology) จะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) อีก 100 เมกะวัตต์ในปีนี้ จากปัจจุบัน 151 เมกะวัตต์ โดยคาดหวังจะช่วยผลักดันขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำเทคโนโลยีพลังงานแห่งเอเชียใน 7 ปี

ด้านธุรกิจแหล่งพลังงาน (Energy Resources) ซึ่งประกอบด้วยถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน (Shale gas) นั้น เบื้องต้นเดินหน้าซื้อแหล่งในสหรัฐเพิ่มเติม คาดว่าจะสรุปในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยการลงทุนใน Shale gas จะช่วยสร้างกระแสเงินสดได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง พร้อมมองโอกาสต่อยอดธุรกิจปลายน้ำอย่างโรงไฟฟ้าในอนาคต

ส่วนธุรกิจถ่านหินที่เคยเป็นธุรกิจหลักจะหันมาทำเทรดดิ้งเพิ่มขึ้น โดยไม่เน้นการผลิตถ่านหินออกมามาก ซึ่งจะช่วยยืดอายุปริมาณสำรอง ขณะที่ราคาถ่านหินมีทิศทางอ่อนตัวลงในปีนี้

"ธุรกิจถ่านหินเรายังคงมีอยู่ เพราะในปี 2030 ปี 2040 การใช้พลังงานของโลกก็ยังคงมีถ่านหินอยู่ประมาณ 22% เราก็ยังเก็บถ่านหินไว้ แต่ไม่ได้ไปเพิ่มปริมาณการผลิตในแต่ละปี แต่เราจะไปเติมในส่วนที่เป็น Greener อย่างธุรกิจก๊าซฯ...หัวใจของบ้านปูคือบริษัทพลังงานแบบครบวงจร ที่เน้นเรื่องเทคโนโลยี นวัตกรรมและพลังงานที่ยั่งยืน ซึ่งพลังงานที่ยั่งยืนก็จะประกอบด้วยพลังงานที่เหมาะสม พลังงานที่มีความต่อเนื่องน่าเชื่อถือ และพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม"นางสมฤดี กล่าว

นางสมฤดี กล่าวว่า สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทในปี 62-63 จะใช้เงินลงทุนรวม 835 ล้านเหรียญสหรัฐ ลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก เพื่อปรับสัดส่วนเป้าหมายกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ให้มีความเหมาะสม จากในปี 61 ที่มีสัดส่วน EBITDA สำหรับธุรกิจ Energy Resources จากถ่านหิน ที่ 70% และก๊าซฯ 8% เปลี่ยนเป็น ถ่านหิน 40% และก๊าซฯ 15% ในปี 68 , ธุรกิจ Energy Generation จากระดับ 22% เปลี่ยนเป็นมาจาก การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงทั่วไป (Conventional) 20% และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 15% ส่วนธุรกิจ Energy Technology จากระดับ 0% จะเพิ่มเป็น 10%

ธุรกิจ Energy Resources ในส่วนของถ่านหิน จะไม่เน้นการขยายเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต โดยจะเน้นรักษาการผลิตในอินโดนีเซียที่ 25 ล้านตัน/ปี ,ออสเตรเลียที่ 15 ล้านตัน/ปี และจีนที่ 10 ล้านตัน/ปี ขณะที่จะเน้นการทำเทรดดิ้งมากขึ้นจากปีที่แล้วที่มี 2.2 ล้านตัน และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 3 ล้านตันในปีนี้ โดยมีตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน เวียดนาม และญี่ปุ่น ล่าสุดได้รับสัญญาการขายถ่านหินให้การไฟฟ้าเวียดนามจำนวน 1 ล้านตัน และเพิ่มได้อีก 20%

พร้อมกันนี้จะเพิ่มปริมาณสำรองถ่านหินจากการสำรวจเพิ่มเติมและการมองหาแหล่งถ่านหินขนาดเล็กละแวกใกล้เคียง ซึ่งในปีที่แล้วได้เข้ามาเพิ่ม 2 แหล่ง โดยมีปริมาณสำรองถ่านหินในอินโดนีเซีย 350 ล้านตัน มีเป้าหมายจะทำการผลิตถ่านหินให้ได้ยาว 15 ปี, ออสเตรเลีย คาดว่าปริมาณสำรองที่มีอยู่เกือบ 380 ล้านตัน ก็จะทำการผลิตถ่านหินได้ถึง 20 ปี และถ่านหินในจีน ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 46% มีการผลิต 10 ล้านตัน/ปี มีปริมาณสำรองราว 900 ล้านตัน สามารถผลิตถ่านหินได้ยาวราว 90 ปี

สำหรับราคาถ่านหินในปีนี้คาดว่าน่าจะอยู่ระดับ 85-95 เหรียญสหรัฐ/ตัน อ่อนตัวลงเล็กน้อยจากราว 102 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่แล้ว จากความกังวลต่อการออกกฎระเบียบใหม่ ๆ ของจีนซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่มีออกมามากขึ้น แต่ราคาถ่านหินก็มีโอกาสขึ้นไประดับ 90-100 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากราคาในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ปริมาณถ่านหินที่เข้ามาในตลาดมีค่าขี้เถ้า (ashes) สูง แต่ในไตรมาส 2-3 ถ่านหินคุณภาพดีที่มีค่าขี้เถ้าต่ำจะเข้ามาสู่ตลาดเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ราคาดีขึ้นด้วย ขณะที่ราคาถ่านหินที่ระดับ 85-100 เหรียญสหรัฐ/ตัน ก็เป็นระดับที่ดีพอสมควรของผู้ประกอบการธุรกิจถ่านหิน

ธุรกิจก๊าซฯในสหรัฐ ที่ปัจจุบันลงทุนไปแล้ว 522 ล้านเหรียญสหรัฐใน 5 แหล่ง มีกำลังการผลิตราว 200 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และมีโอกาสขยายได้อีกราว 15% เป็น 220-230 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และเตรียมใช้เงินอีกราว 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อลงทุนในช่วงปี 62-63 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างมองหาแหล่งก๊าซฯเพิ่มเติมในบริเวณใกล้เคียงแหล่งเดิม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้ พร้อมมองโอกาสต่อยอดไปยังธุรกิจปลายน้ำอย่างโรงไฟฟ้าก๊าซละแวกใกล้เคียง

นางสมฤดี กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาว่าการเข้าสู่ธุรกิจกลางน้ำในสหรัฐอย่างท่อส่งก๊าซฯ หรือปลายน้ำอย่างโรงไฟฟ้าว่าจะมีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร จึงจะตัดสินใจลงทุนต่อไป

ด้านราคาก๊าซฯ Henry Hub ปัจจุบันอยู่ที่ราว 3 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ลดลงจากช่วงปลายปี 61 ที่อยู่ราว 4.5 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล โดยมองว่าราคาก๊าซฯน่าจะเคลื่อนไหวที่ราว 2.8-3.3 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียูในปีนี้ ขณะที่ราคาที่บริษัทขายจะต่ำกว่าราคา Henry Hub เล็กน้อย เพราะขายที่ราคาท่อ แต่การขายที่ระดับดังกล่าวก็สร้างมาร์จิ้นได้กว่า 20% และยังสร้างกระแสเงินสดได้รวดเร็วด้วย

นางสมฤดี กล่าวถึง ธุรกิจ Energy Generation ซึ่งเป็นการดำเนินงานผ่าน บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) วางเป้าหมายที่จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าในมือ 4,300 เมกะวัตต์ (MW) ภายในปี 68 จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าในมือ 2,869 เมกะวัตต์ โดยมีโรงไฟฟ้า Conventional หลักคือโรงไฟฟ้าหงสา ในลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ในไทย ซึ่งสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคง และในอนาคตจะมีโรงไฟฟ้าถ่านหินซานซีลู่กวง (SLG) เข้ามา

ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ที่มีอยู่ในพอร์ตก็จะยังขยายต่อเนื่อง อย่างในญี่ปุ่นมีเป้าหมายจะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มเป็น 300 เมกะวัตต์ จากราว 230 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน และในจีนก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มี 152 เมกะวัตต์ ล่าสุดได้โครงการพลังงานลมในเวียดนาม 200 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา ขณะเดียวกันยังเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโซลาร์ฟาร์มในเวียดนามอีก 400 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสรุปได้ในช่วงไตรมาส 2/62 เบื้องต้นน่าจะถือหุ้นฝ่ายละ 50%

ธุรกิจ Energy Technology ที่ดำเนินการส่วนใหญ่ผ่านทางบริษัท บ้านปู อินฟิเนอร์จี จำกัด โดยทำโครงการโซลาร์รูฟท็อปในประเทศไทยให้กับโรงเรียน โรงแรม โรงพยาบาล โรงงาน รีสอร์ท ห้างสรรพสินค้า รวมถึงยังมีการลงทุนในสิงคโปร์ผ่านบริษัท Sunseap Group Pte Ltd. (Sunseap) ทำให้มีการลงทุนในโซลาร์ราว 151 เมกะวัตต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโซลาร์รูฟ โดยวางเป้าหมายในปีนี้จะเพิ่มโซลาร์รูฟท็อปอีก 100 เมกะวัตต์ในปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ในปี 63 เน้นการทำในลักษณะของโซลูชั่นให้กับลูกค้าในการผลิตเองใช้เอง

และในอนาคตบริษัทจะนำระบบกักเก็บพลังงานมาใช้ร่วมด้วย หลังจากได้เข้าลงทุนราว 47% ในบริษัท Durapower Technology (Singapore) ผู้ผลิตแบตเตอรี่ขนาด 380 เมกะวัตต์ชั่วโมง ซึ่งปัจจุบันมีการส่งออกแบตเตอรี่ไปยังตลาดในยุโรป เป็นต้น รวมถึงกลุ่มบ้านปู ยังได้ลงทุน 21.50% ในรถยนต์ไฟฟ้า FOMM ประเทศญี่ปุ่นด้วย

ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาถ่านหินในมองโกเลีย ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อนำถ่านหินมาผลิตเป็นอนุพันธ์ถ่านหินทั้งในส่วนของน้ำมันดีเซล และปิโตรเคมี โดยเหมือง TU และเหมือง UK มีการตั้งโรงงานทดลองขนาดเล็กที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก ส่วนเหมือง AN จะเป็นการผลิตถ่านหินเพื่อเป็นเชื้อเพลิงป้อนเข้าสู่โรงไฟฟ้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกัน โดยปัจจุบันได้เจรจากับโรงไฟฟ้าดังกล่าวที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและจะเริ่มเดินเครื่องผลิตในอีก 2 ปีข้างหน้า

นางสมฤดี กล่าวอีกว่า บริษัทมีเงินสดในมือเกือบ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีกระแสเงินสดเข้ามาปีละประมาณ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะสามารถรองรับการลงทุนในกลุ่มบริษัทได้ ขณะที่มีภาระจ่ายคืนหนี้ประมาณ 300 ล้านเหรียญสหร้ฐ/ปี จากปัจจุบันที่มีภาระหนี้ราว 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ อายุเฉลี่ย 10 ปี และมีเงินลงทุนราว 400 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ในช่วงปี 62-63 ทำให้มีภาระการใช้เงินราว 700-800 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี เมื่อเทียบกับกระแสเงินสดที่เข้ามาในแต่ละปี ทำให้ยังมีเงินคงเหลือราว 400-500 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ที่จะใช้รองรับการเติบโตที่อาจจะมีเพิ่มเติมเข้ามาในอนาคตและการจ่ายเงินปันผลที่ยังคงมีให้กับผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ

https://youtu.be/M_XMF9Po6m8


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ