ทริสฯ เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ CK เป็น "A" จาก "A-" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 4, 2019 17:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.ช.การช่าง (CK) เป็นระดับ "A" จากเดิมที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่"

อันดับเครดิตที่ปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของบริษัทที่สูงขึ้นในการปรับตัวในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนในกลุ่มบริษัทในเครือซึ่งสร้างผลตอบแทนที่ดี แนวโน้มการเติบโตของกำไรของบริษัท และภาระหนี้ของบริษัทที่ลดลง

อันดับเครดิตยังสะท้อนรวมถึงสถานะความเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำในประเทศไทย ตลอดจนความสามารถในการรับงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่และโครงการที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมทั้งความแข็งแกร่งในการดำเนินโครงการและความยืดหยุ่นทางการเงินที่เกิดจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงและการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่เข้มแข็งซึ่งเกิดจากการมีความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศของบริษัท บริษัทมีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างที่หลากหลายครอบคลุมงานก่อสร้างทั่วไป เช่น งานก่อสร้างถนน ทางด่วน อาคาร และสะพาน ไปจนถึงงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนสูง เช่น งานโครงการระบบขนส่งใต้ดินและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ

บริษัทเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่อันดับที่ 2 ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อพิจารณาในแง่ของรายได้และสินทรัพย์ ทั้งนี้ บริษัทมีประสบการณ์ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ยาวนานและการมีฐานทุนขนาดใหญ่ยังช่วยให้บริษัทสามารถเข้าร่วมประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐได้อีกด้วย

การลงทุนเชิงกลยุทธ์ช่วยสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท นอกจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างแล้ว บริษัทยังมีกลยุทธ์ในการสร้างฐานรายได้ประจำเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างด้วย

บริษัทลงทุนและคงสัดส่วนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 3 ราย ได้แก่ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) บมจ.ทีทีดับบลิว (TTW) และ บมจ.ซีเคพาวเวอร์ (CKP) โดยทั้ง 3 บริษัทดังกล่าวดำเนินงานที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ ระบบขนส่งมวลชนและสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานหรือสัญญาซื้อขายระยะยาว

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการขยายสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำในระดับหนึ่งซึ่งช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากวงจรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างลงได้ บริษัทเหล่านี้ได้จ้างให้บริษัทดำเนินโครงการก่อสร้างจำนวนมากที่เป็นส่วนของการขยายงานของแต่ละบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับเงินปันผลจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอและมีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ที่ลงทุนอีกด้วย

ความสามารถในการปรับตัวในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของบริษัทในการปรับตัวในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้มากขึ้นจากการลงทุนของบริษัท พิจารณาจากการที่บริษัทในเครือมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ทั้งบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพและ บริษัทซีเคพาวเวอร์

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากทั้ง 2 บริษัทประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ในขณะเดียวกันบริษัทจะได้รับเงินปันผลจากบริษัททีทีดับบลิวประมาณ 450-500 ล้านบาทต่อปี การลงทุนเชิงกลยุทธ์นี้ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทจากการที่บริษัทเหล่านั้นเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมูลค่าตลาดของทั้ง 3 บริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การลงทุนเชิงกลยุทธ์ดังกล่าวต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก อีกทั้งบริษัทยังต้องให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินในบางโครงการซึ่งเป็นสัญญาสัมปทานในรูปแบบผู้สนับสนุนโครงการ ซึ่งทำให้ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าปัจจุบันทั้งบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพและบริษัทซีเคพาวเวอร์มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแรงและสามารถที่จะระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงการของตัวเองได้ ทริสเรทติ้งคาดว่าในอนาคตบริษัทจะไม่ต้องให้การสนับสนุนทางด้านการเงินจำนวนมากกับบริษัทร่วมทั้ง 2 แล้ว ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรักษาระดับภาระหนี้ในปัจจุบันเอาไว้ได้

ความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองในเชิงบวกสำหรับอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจากนโยบายการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการพัฒนาเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จากสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง บริษัทมีความพร้อมในการประมูลงานเหล่านี้เพื่อเพิ่มมูลค่างานในมือของบริษัทที่กำลังลดลง

อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างยังคงเป็นปัจจัยกดดันอันดับเครดิตต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นการแข่งขันกันอย่างรุนแรงของผู้รับเหมาก่อสร้างจะส่งผลกดดันต่ออัตรากำไร เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ต้องผ่านการประมูลแข่งขันกันซึ่งจะลดอัตรากำไรของผู้รับเหมาก่อสร้างในที่สุด อีกทั้ง ยังมีความเสี่ยงจากความล่าช้าในขั้นตอนการประมูลงานและการจัดจ้างในโครงการภาครัฐอีกด้วย

กำไรและกระแสเงินสดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น ภายใต้ประมาณการ 3 ปีของทริสเรทติ้ง คาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 30,000-33,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 มูลค่างานรับเหมาก่อสร้างในมือที่ระดับปานกลางที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของประมาณการรายได้ในปี 2562 และคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ในปี 2563 และ 15% ในปี 2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะยังทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 8% กำไรขั้นต้นจะทรงตัวที่อย่างน้อย 2,700 ล้านบาทต่อปี จากการคาดว่ารายได้จากบริษัทร่วมจะสูงขึ้นนั้น ทริสเรทติ้งประมาณการกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,000-4,500 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 เมื่อเทียบกับ 3,300-4,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 2,600-3,000 ล้านบาทต่อปี

คาดว่าภาระหนี้จะลดลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตพิจารณารวมถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะมีภาระหนี้ที่ลดลงในอนาคต บริษัทมีภาระหนี้ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดย ณ สิ้นปี 2560 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 57.2% ลดลงจากระดับ 65%-70% ในช่วง 3 ปีก่อนหน้า อัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นภายหลังจากที่มีการโอนภาระเงินกู้ยืมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงไปให้แก่บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทยังทรงตัวอยู่ในระดับ 52.9% ณ สิ้นปี 2561 เนื่องจากบริษัทต้องให้การสนันสนุนเงินกู้ยืมระยะยาวในโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีประมาณ 14,000 ล้านบาท

ในประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาภาระหนี้ให้อยู่ที่ระดับ 50%-55% เอาไว้ได้ เนื่องจากระดับการสนับสนุนทางการเงินที่บริษัทจำเป็นต้องให้แก่บริษัทร่วมน่าจะลดลง อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะลดลงและทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 7 เท่า ทริสเรทติ้งพิจารณาว่าภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับที่สูงกว่าบริษัทรายอื่น ๆ ที่ได้รับอันดับเครดิตในระดับเท่ากัน เนื่องจากการประเมินอันดับเครดิตพิจารณาถึงภาระหนี้ของบริษัทที่มีโครงสร้างทางธุรกิจที่เป็นทั้งผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้ประกอบธุรกิจลงทุนด้วย ซึ่งภาระหนี้ของบริษัทจะลดลงได้อีก หากเงินให้กู้ยืมเพื่อสนับสนุนโครงการไซยะบุรีมีการชำระคืนด้วยการกู้ยืมใหม่

สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ บริษัทมีสภาพคล่องที่สามารถบริหารจัดการได้ โดย ณ เดือนธันวาคม 2561 บริษัทมีเงินสดจำนวน 8,500 ล้านบาทและมีเงินลงทุนชั่วคราวอีกจำนวน 400 ล้านบาท เงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ในขณะที่คาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนประมาณ 1,500 ล้านบาทและเงินปันผลจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ในขณะที่ภาระหนี้ระยะยาวที่จะถึงกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะมีจำนวนประมาณ 4,800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าบริษัทจะชำระหนี้ด้วยเงินรายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหรือการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ จากสถานะในตลาดทุนและอันดับเครดิตของบริษัท ความเสี่ยงในการกู้ยืมใหม่ของบริษัทค่อนข้างต่ำ

นอกจากนี้ สภาพคล่องของบริษัทยังมีปัจจัยสนับสนุนด้านความยืดหยุ่นทางการเงินจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนทั้ง 3 แห่ง โดย ณ สิ้นปี 2561 เงินลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวมีมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 66,600 ล้านบาท หรือประมาณ 1.8 เท่าของภาระหนี้รวมของบริษัท อย่างไรก็ดี บริษัทมีแนวโน้มที่จะยังคงสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัททั้ง 3 แห่งนี้ในระดับหนึ่งต่อไป

ในช่วงปี 2562-2564 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่า ส่วนอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมนั้นคาดว่าจะอยู่สูงกว่า 8% ทั้งนี้ บริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 3 เท่าเอาไว้เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของหุ้นกู้ โดยอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1.08 เท่า ณ สิ้นปี 2561

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

คาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 30,000-33,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564

อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะรักษาระดับไว้ที่อย่างน้อย 8%

บริษัทสามารถได้งานรับเหมาก่อสร้างใหม่มูลค่า 30,000-35,000 ล้านบาทต่อปี

เงินสนับสนุนให้กู้ยืมในโครงการไซยะบุรียังคงมีอยู่ในช่วงหลายปีข้างหน้า

ไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่หรือการสนับสนุนทางการเงินจำนวนมากแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกัน

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้ได้งานใหม่จากโครงการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังจะเกิดขึ้น บริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 8% เอาไว้ได้แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงก็ตาม เงินลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทจะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี และบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ในช่วง 50%-55% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัด แต่จะเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดเพิ่มได้อย่างมีนัยสำคัญ และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงและอยู่ต่ำกว่า 5 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องได้ ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้ต่ำกว่า 50% เอาไว้ได้

ในขณะที่ปัจจัยลบสำหรับอันดับเครดิต ได้แก่ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างมาก ซึ่งอาจเกิดจากความล่าช้าและการมีต้นทุนก่อสร้างในโครงการหลัก ๆ ที่สูงกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ หรือหากผลการดำเนินงานลดลงอย่างมาก หรือมีการลงทุนขนาดใหญ่ หรือมีการให้การสนับสนุนทางการเงินที่มีมูลค่าสูงแก่บริษัทในกลุ่ม ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนสูงเกินกว่า 60% เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ