(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีฯเช้านี้ปรับลงกรอบจำกัด ตามภูมิภาค หลังเฟดส่งสัญญาณยังไม่ลดดอกเบี้ย-ราคาน้ำมันร่วง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 3, 2019 09:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะย่อตัวลงแต่อาจจะไม่มากนัก ซึ่งคงจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบกัน เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยทำให้พวกที่เก็งเรื่องดอกเบี้ยก็มีการชะลอ และอาจทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นได้ซึ่งจะเป็นผลลบต่อเอเชีย

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันร่วงลงหลังจากที่สต็อกน้ำมันในสหรัฐฯสูงกว่าคาด ดังนั้น วันนี้มองหุ้นพวก Global plays จะไม่ค่อยดี แต่จะดีในหุ้นพวก Domestic plays โดยมีแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ แม้ว่าปัจจัยการเมืองยังต้องจับตาในเรื่องผลการเลือกตั้งอยู่

พร้อมให้แนวรับ 1,670-1,666 จุด ส่วนแนวต้าน 1,683-1,688 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 พ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,307.79 จุด ลดลง 122.35 จุด (-0.46%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,917.52 จุด ลดลง 6.21 จุด (-0.21%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,036.77 จุด ลดลง 12.87 จุด (-0.16%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 125.70 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 33.50 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 3.31 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 8.95 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.71 จุด

ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันระลึกรัฐธรรมนูญ และตลาดหุ้นจีน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันแรงงาน

  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 พ.ค.62) 1,679.17 จุด เพิ่มขึ้น 5.65 จุด (+0.34%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 336.15 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 พ.ค.62
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 พ.ค.62) ปิดที่ 61.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.79 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ซึ่งเปิดระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ปีนี้
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 พ.ค.62) ที่ 3.42 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 32.02 แนวโน้มอ่อนค่า หลังดอลล์แข็งรับเฟดส่งสัญญาณยังไม่ลดดอกเบี้ย จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯคืนนี้
  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย.วูบต่ำสุดในรอบ 16 เดือน เหตุคนกังวลเรื่องการเมือง เชื่อ "บิ๊กตู่" จะกลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย แต่รัฐบาลใหม่ต้องมีเสถียรภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ ความเชื่อมั่นจะเป็นขาขึ้น ดันเศรษฐกิจโต 3.8-4% แต่ถ้าตรงกันข้าม การเมืองวุ่นวาย ความเชื่อมั่นจะดิ่งทันที ทำเศรษฐกิจไทยปีนี้โตแค่ 3.5% หรือต่ำกว่า
  • ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดทำ 4 แผนพลังงานรองรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศปี 2561-2580 (พีดีพี 2018) หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 ว่า สนพ.จะต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแผนพีดีพี ขณะเดียวกันกระทรวงพลังงานจะต้องเร่งจัดทำร่างแผนแม่บทกระทรวงพลังงาน ปี 2562-2566 และจัดทำ 4 แผนคือ แผนอนุรักษ์พลังงาน (อีอีพี), แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (เออีดีพี), แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ และแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สอดคล้องกับแผนพีดีพีฉบับใหม่
  • ธปท.เผยไตรมาสแรกปีนี้แบงก์เข้มงวดปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เหตุกังวลคุณภาพสินเชื่อแย่ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ แต่คาดไตรมาส 2 สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่แนวโน้มดี
  • ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ เผยปีนี้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดคาดว่าจะโตต่ำสุดรอบ 3 ปี ที่ 2.7-3.3% ประกอบกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะมีผลต่อการส่งออกของไทยปีนี้ขยายตัวได้เพียง 3-4% โดยไตรมาสแรกการส่งออกต่ำสุด หลังจากนั้นน่าจะฟื้นตัวกลับมาช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้น ผู้ส่งออก ของไทยควรต้องทำประกันความเสี่ยงและหาตลาดที่ยังมีศักยภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดประเทศเกิดใหม่ รวมทั้ง CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เนื่องจาก กลุ่มนี้มีการขยายตัวสูง โดยปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 16.6% และปีนี้มีแนวโน้มขยายตัว 2 หลัก และเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการจึงได้เปิดบริการใหม่ คือ สินเชื่อเอ็กซิมเชื่อม SME ไทยสู่ CLMV วงเงินสูงสุด 2 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย Prime Rate-1.75% ต่อปี หรือ 4.50% ต่อปี และลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ต่อปีสำหรับลูกค้าประกันการส่งออก ระยะเวลาอนุมัติตั้งแต่บัดนี้ถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2563

*หุ้นเด่นวันนี้

  • VRANDA (บมจ.วีรันดา รีสอร์ท) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยเสนอขาย IPO ที่ 10 บาท/หุ้น ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินมูลค่าเหมาะสม 11.1 บาท (DCF) ราคา IPO คิดเป็น PE 26x ใกล้เคียงกลุ่ม แต่จะลดเหลือเพียง 8x ในปีหน้า โดยคาดกำไรสุทธิปีนี้ -43% เป็น 134 ล้านบาท เพราะปีก่อนโอนโครงการอสังหาฯที่พัทยาไปมาก แต่คาดกำไรปี 2563 โตแรง +217% เป็น 425 ล้านบาท เพราะเริ่มโอนโครงการอสังหาฯใหม่ที่หัวหิน ทั้งนี้ บริษัทฯประกอบธุรกิจโรงแรม พัฒนาอสังหาฯ ร้านอาหารและเครื่องดื่มของบริษัทอยู่ในภาคท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มโตต่อเนื่อง
  • ROBINS (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 72 บาท) ได้อานิสงส์ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกระตุ้นกำลังซื้อส่งผลดีต่อ ROBINS ที่มีสาขาและรายได้หลักมาจากต่างจังหวัด ขณะที่ราคายัง Laggrad เมื่อเทียบกับกลุ่ม (YTD ROBINS-6% Vs Commerce +8-10%)
  • BJC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 66 บาท เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้อานิสงส์จากมาตรการพยุงเศรษฐกิจ และราคายัง laggard (+1% YTD) กว่ากลุ่ม ขณะที่กำไรปกติ Q1/62 คาดโตสูงสุดในกลุ่ม +19% Y-Y ทั้งจากธุรกิจของ BJC เองและ BIGC (คาด SSSG +1% Y-Y) แนวโน้ม Q2/62 โตต่อทั้ง Q-Q, Y-Y เพราะฐานต่ำในปีก่อน และน่าจะเห็นลูกค้ากระป๋องรายใหม่ทยอยเพิ่มต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่กำไร BIGC จะเร่งตัวใน H2/62 เพราะเร่งเปิดสาขา (7 ไทย 1 กัมพูชา)
  • STEC (เคทีบี) "ซื้อ"เป้าเชิงกลยุทธ์ 27 บาท เชื่อว่าหุ้นกลุ่มรับเหมาน่าจะได้รับความสนใจในการลงทุนในสัปดาห์หน้าหลังกกต. ประกาศรายชื่อส.ส. อย่างเป็นทางการและหุ้น STEC จะน่าเป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่มรับเหมาที่อิงการเมืองในขณะนี้ และมีโอกาสรับงานใหม่สูง โดยคาดว่า STEC จะได้รับงานเพิ่มอีกจากโครงการที่จะเปิดประมูลใหม่ของภาครัฐที่เร่งนำเงิน TFF มาใช้จ่ายลงทุนและเร่งประมูลโครงการรถไฟฟ้าและทางด่วนมูลค่า 6.5 หมื่นล้านบาทหลังได้รัฐบาลชุดใหม่ โดย Backlog ที่มีอยู่กว่า 1 แสนล้านบาท เกือบครึ่งเป็นโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าคืบหน้าต่อเนื่อง ทำให้การรับรู้รายได้มีความต่อเนื่อง และคาดงบ Q1/62 จะออกมาดีทั้ง qoq และ yoy พร้อมคาดปีนี้มีกำไรสุทธิ 1,559 ล้านบาท โต 34% (อิง Bloomberg Consensus)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ