MILL เผย ก.พ.นี้จะพิจารณาจ่ายปันผลงวดปี 50, คาดปี 51 รายได้โต 20%

ข่าวหุ้น-การเงิน Sunday February 3, 2008 13:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ. มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ (MILL) เปิดเผยว่าในช่วงปลายเดือน ก.พ.นี้บริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาเรื่องการจ่ายปันผลในงวดปี 2550  จากนโยบายการจ่ายปันผลของบริษัทที่ไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไร เนื่องจากมองว่าในปีนี้มีกำไรแน่นอนโดย 9 เดือนในปี2550 ที่ผ่านมามีกำไรแล้วประมาณ 49 ล้านบาทซึ่งมากกว่าทั้งปี 2549 ที่มีกำไร 66 ล้านบาท เพราะได้รับผลดีจากราคาเหล็กเส้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 28-29 บาทต่อกิโลกรัมจากในช่วงเดือน พ.ย ที่ราคาเหล็กอยู่ที่ 22-23 บาทต่อกิโลกรัม รวมทั้งการที่ได้เม็ดเงินในการระดมทุนในการเพิ่มยอดขาย
ทั้งนี้จากการที่ได้รับผลดีจากราคาเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้น และต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากการระดมทุนนั้นส่งผลให้ Net Profit Margin สิ้นปี 2550 ปรับตัวดีอยู่ที่ประมาณ 1-2% และคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9% ในปี 2551 เท่ากับช่วงก่อนที่จะเข้าจดทะเบียน
ส่วนแผนงานในปี 2551 บริษัทจะหันมาขยายช่องทางการตลาดไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องจักร ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ จากปัจจุบันมีฐานลูกค้าอยู่ในกลุ่มวัสดุก่อสร้างเกือบทั้งหมด เนื่องจากประเมินว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่มีมาร์จิ้นดี และยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทได้ และทำให้มีลูกค้ารายใหม่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การเพิ่มไลน์การผลิตที่จะเริ่มผลิตในเชิงพาณิชย์ในช่วงเดือนกพ-มีนาคม 2551 จะทำให้การเติบโตของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2551 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2550 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 3,000 ล้านบาท
"เท่าที่ประเมินแนวโน้มราคาเหล็กในไตรมาส 1 ปี 2551 จะปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5% จากตอนนี้ที่ราคา 28 บาทต่อกิโลกรัมจากแนวโน้มความต้องการใช้เหล็กที่สูงขึ้น โดยเฉพาะหากภาครัฐกระตุ้นการลงทุนเมกะโปรเจคเกิดขึ้นอีกจะยิ่งทำให้ได้รับผลดีด้วย ปัจจุบันเรามีแบล็กล็อคประมาณ 600 ล้านบาทหรือประมาณ 1-2 หมื่นตันที่จะทยอยส่งให้ลูกค้า"นายสิทธิชัยกล่าว
ส่วนความคืบหน้าเรื่องพันธมิตรนั้นนายสิทธิชัย กล่าวว่า คงไม่ใช้เรื่องเร่งด่วนในขณะนี้แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมามีหลายรายเข้ามาหารือทั้งในลักษณะการเข้าถือหุ้นและลักษณะการลงทุนเท่านั้น ซึ่งคงต้องพิจารณาให้รอบคอบแต่การมีพันธมิตรความสำคัญอยู่ที่การเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรให้กับบริษัท
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในปีนี้จากการประเมินคงจะเติบโตประมาณ 10-15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเนื่องจากความชัดเจนในเรื่องการเมืองโดยเฉพาะหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวโดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็กที่ชะลอเกิดขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้สินค้าเหล็กเพิ่มขึ้นตามปริมาณงานที่เข้าสู่ตลาด ถึงแม้ราคาน้ำมันราคาน้ำมันมีทิศทางที่อยู่ในระดับสูงก็ตามแต่ไม่น่าจะปรับตัวเกิน 750-800 เหรียญสหรัฐ/ตัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ