(เพิ่มเติม) "ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี"ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 100 ล้านหุ้น เข้า mai ลงทุนเครื่องมือ-ซอฟต์แวร์-ทรัพย์สินทางปัญญา

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 10, 2019 10:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี (SIC) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) ฉบับแรกเมื่อวันที่ 3 พ.ค.62 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 100 ล้านหุ้น และจะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

วัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้เพื่อลงทุนในเครื่องมือ, อุปกรณ์, ซอฟต์แวร์ รวมถึงทรัพย์สินทางปัญญา เช่น สิทธิบัตรด้านการออกแบบและทดสอบไมโครชิพ, ลงทุนหรือร่วมลงทุนในบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจด้านออกแบบและพัฒนาวงจรรวม หรือมีนวัตกรรมที่ส่งเสริมการประกอบธุรกิจของบริษัท, ลงทุนในการว่าจ้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

บริษัทประกอบธุรกิจหลัก ได้แก่ การเป็นผู้ออกแบบวงจรรวมและพัฒนาเป็นไมโครชิพสำหรับอุปกรณ์ระบบ RFID โดยมุ่งเน้นการพัฒนาการออกแบบและรับรองคุณสมบัติของไมโครชิพประเภทที่ออกแบบให้ทำเฉพาะฟังก์ชั่นที่กำหนด (Application Specific Integrated Circuit: ASIC) ทั้งแบบเฉพาะเจาะจงตามความต้องการของลูกค้า (Exclusive Product) และแบบมีนวัตกรรมเฉพาะที่บริษัทพัฒนาขึ้นเพื่อนำเสนอต่อกลุ่มลูกค้าต่างๆ เพื่อให้นำไปประยุกต์ใช้ในการต่อยอดธุรกิจของตน (Standard Product)

บริษัทจะว่าจ้างพันธมิตรทางการค้าให้ดำเนินการผลิตไมโครชิพตามที่บริษัทออกแบบ (Fabless Company) เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งในรูปแบบของไมโครชิพ หรือนำไมโครชิพไปประกอบเข้ากับวัสดุต่างๆ เป็นรูปแบบและรูปทรง (IC packaging, Form Factor) ที่แตกต่างไปตามการใช้งาน เช่น แบบติดกับขดลวด, แบบแท่งพลาสติก, แบบแท่งแก้ว เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถนำไมโครชิพของบริษัทไปใช้ในแท็กหรือเครื่องอ่านของระบบ RFID ได้ตามที่ต้องการ

ปัจจุบันสินค้าของบริษัทแบ่งเป็น 4 กลุ่มตามลักษณะการใช้งาน 1. ไมโครชิพสำหรับระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ (Immobilizer) 2. ไมโครชิพสำหรับระบบลงทะเบียนสัตว์ (Animal Tag) 3. ไมโครชิพสำหรับระบบเข้า-ออกสถานที่ (Access Control) และระบบการอ่านข้อมูล (Interrogator) และ 4. สินค้าและบริการอื่นๆ

บริษัทมีโครงการจะพัฒนาออกแบบสินค้ารุ่นใหม่เพื่อสร้างการเติบโตในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า รวม 9 โครงการ โดย ณ สิ้นสุด 31 ธ.ค.61 โครงการที่พัฒนาแล้วเสร็จมี 4 โครงการ และโครงการที่ยังอยู่ระหว่างพัฒนาอีก 5 โครงการ ดังนี้ 1.กลุ่มระบบ Near Field Communication (NFC) อยู่ระหว่างรพัฒนาไมโครชิพเครื่องตรวจวัดอัจฉริยะ (Smart Sensor) โดยในปี 61 บริษัทไดื้ข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับผู้ประกอบการรายใหญ่ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ในประเทศเพื่อร่วมพัฒนาเครื่อง Smart Sensor สำหรับดูแลสุขภาพ (Healthcare) มีแผนจะปิดโครงการและเริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 63

2.บริษัทได้พัฒนาสินค้าในกลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นโดยสามารถอ่านได้ในระยะที่ไกลกว่าเดิมไม่น้อยกว่า 10% ของระยะอ่านเดิม โดยอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของลูกค้าผู้ผลิตและจำหน่ายระบบลงทะเบียนสัตว์รายใหญ่ของโลก เริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว และมีโครงการพัฒนาเพื่อลดต้นทุนการผลิตอีก 2 โครงการกำหนดจะพัฒนาแล้วเสร็จภายในปี 63-64 จำนวน 2 โครงการ

3.กลุ่มระบบกุญแจสำรองอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทร่วมกับลูกค้าพัฒนาระบบการทำงานโดยเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ เริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้วในช่วงปลายปี 61 และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการลดต้นทุนผลิตอีก 1 โครงการ กำหนดจะแล้วเสร็จภายในปี 64

4.กลุ่มระบบการอ่านข้อมูล บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าในกลุ่มระบบการอ่านข้อมูลเพื่อลดต้นทุนผลิตสำหรับสินค้าในกลุ่มดังกล่าว กำหนดจะแล้วเสร็จภายในปี 63

นอกจากนั้น ยังมีโครงการลงทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา โดยจะลงทุนในเครื่องมือและอุปกรณ์ด้านการทดสอบและออกแบบไมโครชิพ 20-40 ล้านบาท, ลงทุนในทรัพย์สินทางปัญญา เช่น สิทธิบัตร วงเงินราว 50-60 ล้านบาท, การว่าจ้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญราว 40-50 ล้านบาท, ลงทุนหรือร่วมทุนในบริษัทอื่นในธุรกิจออกแบบและพัฒนาวงจรรวม หรือมีนวัตกรรมใหม่ราว 90-100 ล้านบาท

บริษัทมีทุนจดทะเบียน ณ วันที่ 5 เม.ย.62 เท่ากับ 200,000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 150,000,000 บาท และภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO แล้วจะทำให้บริษัทมีทุนชำระแล้วครบตามจำนวน 400,000,000 หุ้น

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ประกอบด้วย นายมานพ ธรรมสิริอนันต์ ถือหุ้น 118,178,160 หุ้น คิดเป็น 39.39% หลังเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 29.54%, นายอภิเนตร อูนากูล ถือหุ้น 66,684,200 หุ้น คิดเป็น 22.23% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 16.67%, กลุ่มนายนัยวุฒิ วงษ์โคเมท ถือหุ้น 43,719,040 หุ้น คิดเป็น 14.58% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 10.93%

ณ วันที่ 31 ธ.ค.61 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 269.78 ล้านบาท หนี้สินรวม 40.55 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 229.23 ล้านบาท

ผลประกอบการของบริษัทในช่วงปี 59, 60 และ 61 บริษัทมีรายได้จากการขายเท่ากับ 329.55 ล้านบาท, 310.71 ล้านบาท และ 377.04 ล้านบาท ตามลำดับ รายได้หลักมาจากการจำหน่ายไมโครชิพสำหรับระบบกุญแจสำรองอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ ต้นทุนจากการขายสินค้าเท่ากับ 172.17 ล้านบาท, 173.63 ล้านบาท และ 225.11 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิเท่ากับ 74.64 ล้านบาท 38.66 ล้านบาท และ 51.68 ล้านบาทตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 22.41%, 12.31% และ 13.68% ตามลำดับ

อัตรากำไรสุทธิในปี 60 และ 61 มีการปรับตัวลดลงจากปี 59 เนื่องจากบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจากการตั้งค่าเผื่อมูลค่าสินค้าลดลง ประกอบกับการมีสัดส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มสูงขึ้น โดยค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและค่าที่ปรึกษา เนื่องจากบริษัทมีการมุ่งเน้นการทำงานวิจัยเพื่อเตรียมองค์ความรู้สำหรับการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และมีการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมในระบบสารสนเทศ, ระบบบัญชี และระบบควบคุมภายในในปี 60 อย่างไรก็ดี อัตรากำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 61 เนื่องจากบริษัทมีค่าที่ปรึกษาลดลง

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักทุนสำรองต่างๆ ทั้งหมดแล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ