(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้อ่อนตัว กังวลสงครามการค้าฉุดศก.โลกชะลอ ,น้ำมันร่วงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 4, 2019 09:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีเช้านี้น่าจะอ่อนตัวลงตามแนวรับ เพราะในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปิดทำการ ตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่อ่อนตัวลงด้านตลาดหุ้นสหรัฐปิดเมื่อวานนี้ แม้ดัชนีดาวโจนส์ขยับขึ้นได้บ้าง แต่ Nasdaq ปรับลงแรง จากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ท่ามกลางสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐก็ออกมาไม่ดีก็จะมีผลกดดันต่อการลงทุนด้วย รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ก็จะกดดันต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ที่มีผลต่อดัชนีหุ้นไทยค่อนข้างมาก

นอกจากนี้ตลาดยังจับตาการเมืองในประเทศ ที่ในสัปดาห์นี้รัฐสภาจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นก็จะมีการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป ขณะที่การเข้าซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติก็ยังเป็นปัจจัยช่วงประคองตลาดได้บ้าง แต่เห็นว่าตลาดก็ยังไม่มีความจำเป็นต้องไล่ซื้อหุ้นเพราะภาพระยะข้างหน้ายังมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกซึ่งจะกดดันบรรยากาศการลงทุน

พร้อมให้แนวรับบริเวณ 1,612 และ 1,600 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,628 และ 1,630 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (3 มิ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,819.78 จุด เพิ่มขึ้น 4.74 จุด (+0.02%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,744.45 จุด ลดลง 7.61 จุด (-0.28%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,333.02 จุด ลดลง 120.13 จุด (-1.61%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 24.98 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.44 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 100.22 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 0.56 จุด,ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 1.07 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 6.30 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.29 จุด , ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 9.10 จุด

ส่วนตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปิดทำการวันนี้ (4 มิ.ย.) เนื่องในเทศกาลฮารีรายออีฏิ้ลฟิตริ

  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (31 พ.ค.62) 1,620.22 จุด ลดลง 1.35 จุด (-0.08%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,504.22 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2562
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (3 มิ.ย.62) ปิดที่ 53.25 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 25 เซนต์ หรือ 0.5%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (3 มิ.ย.62) ที่ 2.96 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 31.32/36 แข็งค่าจากสัปดาห์ก่อน แต่แนวโน้มอ่อนค่า มองกรอบวันนี้ 31.30-31.50
  • "แบงก์พาณิชย์" เผยคุณภาพสินเชื่อเอสเอ็มอี "แย่ลง" เอ็นพีแอลยังปรับขึ้นต่อ คาดไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นอีก 6.2% พิษเศรษฐกิจในประเทศชะลอ การส่งออกติดลบ กระทบความสามารถชำระหนี้ แบงก์เกาะติดกลุ่มปรับโครงสร้างหนี้ใกล้ชิด หวั่นตกชั้นเป็นหนี้เสียเพิ่ม ด้านการประชุมกกร.วันพรุ่งนี้ (5 มิ.ย.) เตรียมหารือแนวโน้มเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะผลกระทบทางการเมืองที่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาล ยิ่งใช้เวลานานยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนมากขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ยังยืดเยื้อ และต้องติดตามผลกระทบอย่างใกล้ชิด
  • ธปท.เตรียมอนุมัติให้มีการนำเทคโนโลยีการพิสูจน์ตัวตนโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ (ไบโอแมตริกส์) เพื่อใช้ยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (อี-เควายซี) สำหรับการทำธุรกรรมการเงินในไตรมาส 3/62 นี้ หลังจากผ่านการทดสอบในศูนย์ทดสอบนวัตกรรมทางการเงิน (แซนด์บ็อกซ์) ของ ธปท. โดยการทดสอบในแซนด์บ็อกซ์ส่วนใหญ่ใช้การพิสูจน์ตัวตนโดยใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (เฟซ เรค็อกนิชั่น) และการสแกนลายนิ้วมือ (ฟิงเกอร์ปริ๊นท์ เรค็อกนิชั่น) ซึ่งไบโอแมตริกส์สามารถทำ อี-เควายซี ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลาไม่ต้องไปสาขา มีความปลอดภัยช่วยลดข้อผิดพลาดหากเทียบกับการใช้พนักงาน-
  • สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมยังห่วงภาคอุตสาหกรรม-เกษตรแปรรูป ครึ่งหลังปี 62 ยังต้องเผชิญปัจจัยกดดันเพียบ ทั้งสงครามค้าโลก แห่ใช้มาตรการกีดกัน รวมถึงภาวะเอลนิโญ-ลานิญาทำอากาศป่วน แนะปรับตัวทันช่วยกระตุ้นยอดขาย โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า-เกษตรอาหาร
  • อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในครึ่งหลังของปี 62 กรมได้มีการปรับแผนในการทำตลาดส่งออก ด้วยการเพิ่มกิจการโรดโชว์ในต่างประเทศ และดึงผู้ค้าในต่างประเทศเข้ามาพบปะกับผู้ประกอบการไทยและเกษตรกรไทยมากขึ้นหรือ 100-200 ครั้ง เพื่อผลักดันการส่งออกไทยทั้งปีให้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 260,184 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 3%
  • กรมการค้าภายในเอาจริงส่งตำรวจดำเนินคดีโรงพยาบาลเอกชน 1 รายกรณีคิดค่ารักษาอาการท้องเสียถึง 30,000 บาท และคิดค่ายาแพงเกินจริงแล้ว ชี้โทษจำคุก 7 ปีปรับ 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมเดินหน้าทำฐานข้อมูลราคาเวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ หลังทำข้อมูลราคายาเสร็จแล้ว ก่อนเผยแพร่บนเว็บไซต์ให้ตรวจสอบเปรียบเทียบราคาของแต่ละโรงพยาบาลก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา
  • "คลัง" ระดมสมอง คิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เตรียมเสนอรัฐบาลชุดใหม่เร่งฟื้นจีดีพีช่วงครึ่งปีหลัง ประเมินแนวโน้มยังชะลอตัวจากภาคส่งออก ยันไม่ใช้ "ยาแรง" มุ่งกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศผ่านกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเป็นหลัก โดยเล็งอัดฉีดกลุ่มผู้บริโภคชั้นกลางต่อยอดเงินเพื่อการท่องเที่ยวคนละ 1,500 บาท

*หุ้นเด่นวันนี้

  • MINT-W6 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ครั้งที่ 6) เข้าซื้อขายใน SET วันแรก มีจำนวนหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน 230,939,382 หน่วย ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาท อายุ 2 ปี 4 เดือน 10 วัน อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาหุ้นละ 43 บาท กำหนดใช้สิทธิครั้งแรก 15 ส.ค.62 และใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 30 ก.ย.64
  • RATCH (เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ) แนะ "T-BUY" ราคาเป้าหมาย 65 บาท/หุ้น มุมมองเชิงบวกจากการได้เป็นผู้ดำเนินการโครงการ IPP ภาคตะวันตก 2 โครงการ รวม 1,400 MW ถูกรับรู้แล้วบางส่วน แต่หากมีพันธมิตรร่วมทุน อาจจะนำมาซึ่งโอกาสร่วมมือโครงการอื่นในอนาคตช่วยชดเชยมูลค่าตามสัดส่วนที่ลดลง โดยประเมินมูลค่าโรงไฟฟ้า IPP 3 บาทต่อโรง บนสมมติฐานเงินลงทุน 0.7 ล้านเหรียญต่อ MW ถือสัดส่วน 100% อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน 3 ต่อ 1 และ IRR 10% ประเด็นผู้ร่วมทุนเป็นการเสียโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่ม แต่อาจได้ชดเชยหากพันธมิตรสามารถหาโครงการเข้ามา เพื่อช่วยต่อยอดโอกาสการลงทุนในอนาคตให้กับ RATCH ทั้งธุรกิจโรงไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐาน
  • AOT (กสิกรไทย) แนะนำ "OUTPERFORM" ราคาเป้าหมาย 78.50 บาท/หุ้น สำหรับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงกว่า 3% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สะท้อนมุมมองของตลาดที่คิดว่าสัญญา Duty free และ Retail space ใหม่ที่ AOT ทำกับ"คิงเพาเวอร์"นั้นจะต้องต่ำกว่าสมมติฐานของกสิกรไทยที่ 1 หมื่นล้านบาทต่อปีถึง 15% โดย AOT จะเปิดเผยรายละเอียดของสัญญาใหม่กับคิงเพาเวอร์ในวันที่ 19 มิ.ย.นี้
  • MINT (เคทีบีฯ) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 41 บาท/หุ้น โดยมีมุมมองเชิงบวกจาก RevPar ในเดือน เม.ย.-พ.ค.พลิกกลับมาเป็นบวกได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ และจะมี upside เพิ่มจากการขายโรงแรมในเครือ Tivoli ซึ่งยังไม่ได้รวมในประมาณการ พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 2562 ที่ 6.8 พันล้านบาท +24% YoY เติบโตสูงสุดในกลุ่ม และคาดว่ากำไรสุทธิใน 2Q62 จะทำจุดสูงสุดของปีนี้จาก NH เข้าสู่ช่วง Peak season และโตต่อใน 3Q62 เพราะเป็น High season ของโปรตุเกส ส่วน 4Q62 เป็น High season ของไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ