(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นตามตลาดภูมิภาค ขานรับ Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่องหลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย-ใช้ QE

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 6, 2019 09:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นต่อ ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก ขานรับ Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง หลังจากที่ MSCI ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติได้ซื้อไปแล้ว 28,000 ล้านบาท ทำให้ยอดสะสมทั้งปีพลิกเป็น +4,587 ล้านบาท

ทั้งนี้ Fund Flow ไหลเข้าทั้งภูมิภาค เข้าลงทุนทั้งตลาดบอนด์ และตลาดหุ้น หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย และอาจจะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ด้วย ซึ่งในการประชุมเฟดวันที่ 18-19 มิ.ย.นี้ก็ให้จับตาดูอีกที เนื่องจากเวลานี้เปอร์เซนต์ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.และธ.ค.มีสูงถึง 80-90% ด้วยทิศทางดอกเบี้ยที่เป็นขาลงทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า เพราะคนก็จะโยกเงินเข้าลงทุนสินทรัพย์อื่น

ส่วนบ้านเราความชัดเจนทางการเมืองมีมากขึ้นหลังจากที่ได้นายกรัฐมนตรีแล้ว อย่างไรก็ดี เมื่อคืนที่ผ่านมาราคาน้ำมันปรับตัวลงกว่า 3% หลังจากที่สต็อกน้ำมันสหรัฐฯมีมากกว่าที่ตลาดคาด ทำให้อาจจะไปกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ได้

พร้อมให้แนวรับ 1,642 จุด ส่วนแนวต้าน 1,653-1,660 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (5 มิ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,539.57 จุด เพิ่มขึ้น 207.39 จุด (+0.82%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,826.15 จุด เพิ่มขึ้น 22.88 จุด (+0.82%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,575.48 จุด เพิ่มขึ้น 48.36 จุด (+0.64%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 30.26 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 0.91 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 40.43 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 51.72 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 2.06 จุด

ส่วน ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันรำลึกถึงวีรชนแห่งชาติ, ตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลฮารีรายออีฏิ้ลฟิตริ

  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (5 มิ.ย.62) 1,648.46 จุด เพิ่มขึ้น 10.77 จุด (+0.66%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 4,788.55 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2562
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (5 มิ.ย.62) ปิดที่ 51.68 ดอลลาร์/บาร์เรลร่วงลง 1.80 ดอลลาร์ หรือ 3.4%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (5 มิ.ย.62) ที่ 3.18 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 31.40 อ่อนค่าจากวานนี้หลังมีแรงซื้อดอลล์ จับตาการฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรี-กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย
  • ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ลงมติสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ที่พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยคะแนนเสียง 500 เสียง นำห่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งได้คะแนนเสียงสนับสนุน 244 เสียง ขณะที่มีผู้งดออกเสียง 3 เสียง หลังจากใช้เวลาพิจารณาและอภิปรายกว่า 12 ชั่วโมง
  • กกร.ชงรัฐบาลใหม่เร่งกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ ทดแทนยอดส่งออกที่ลดลง แนะใช้มาตรการภาษี ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์ อุดหนุนราคาสินค้าเกษตร พร้อมสานต่ออีอีซี ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาบุคลากรยกระดับทักษะการทำงาน
  • ดีเดย์ 12 ส.ค. 62 เปิดทดลองรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-หลักสอง ให้ประชาชนใช้ฟรี ก่อนเปิดเดินรถเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือน ก.ย.เป็นต้นไป ส่วนช่วงเตาปูน-ท่าพระ เปิดทดลองปีใหม่ 63 พร้อมเปิดสีเขียว 1 สถานี จากหมอชิต-ห้าแยกลาดพร้าว รฟม.เผยเปิดสีน้ำเงินครบวงกลม ผู้โดยสารเพิ่มจาก 3 แสนเป็น 8 แสนต่อวัน "ไพรินทร์" ยันค่าโดยสารรถไฟฟ้าเหมาะสมเมื่อเทียบกับระยะทาง ชี้กรมรางฯ จะดูโครงสร้าง ที่เหมาะสมในอนาคต
  • "สภาธุรกิจตลาดทุนไทย" เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนมิ.ย."ต่ำสุด"ในรอบ 2 ปี เหตุนักลงทุนกังวลสงครามการค้าสหรัฐและจีนยืดเยื้อ มีโอกาส ขยายสู่สงครามด้านเทคโนโลยี อีกทั้งยังห่วงงบประมาณรัฐปี 63 ล่าช้า หากยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ หวังรัฐบาลใหม่หนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมา
  • นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 8-11 มิ.ย.นี้ นายลี้ ชี เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์และผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้งสาธารณรัฐประชาชนจีน จะนำนักธุรกิจชั้นนำจากมณฑลกวางตุ้งกว่า 100 คน มาเยือนประเทศไทยเพื่อหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจร่วมกันระหว่างไทยและกวางตุ้ง โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยนักธุรกิจกลุ่มนี้มีกำหนดการเดินทางไปดูความเป็นไปได้ในการลงทุนในพื้นที่อีอีซีในวันที่ 10 มิ.ย.และในวันที่ 11 มิ.ย.จะมีการจัดสัมมนาร่วมกันกับหน่วยงานของไทย

*หุ้นเด่นวันนี้

  • CPALL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 88 บาท หากดูจากสถิติย้อนหลังกลุ่มค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีสุดทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง เลือก CPALL เป็น Top pick ของกลุ่ม SSSG ยังเป็นบวกคาดปีนี้ +3% อีกทั้งการขยายสาขายังเป็นไปตามแผนตั้งเป้าที่ 700 สาขาต่อปี
  • JWD (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 12 บาท นิคมฯในพนมเปญ (PPSEZ) ซึ่ง JWD ถือ 14.6% และถือ 40% ใน Bok Seng ที่ทำธุรกิจโลจิสติกส์ในนิคมฯ ได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนจีนไปกัมพูชาหนีสงครามการค้า นอกจากนี้ JWD มี footprint ในอาเซียนครบทุกประเทศทั้งกัมพูชา ลาว มาเลเซีย อินโดฯ ฟิลิปปินส์ เมียนมา สิงคโปร์ ไต้หวัน และเวียดนาม จึงได้ประโยชน์จากการที่จีนเพิ่มธุรกรรมในเอเชียหลังลดทำการค้ากับสหรัฐ พร้อมคาดกำไร +53% และโตเฉลี่ย 16% ใน 3 ปีข้างหน้า
  • EPG (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 8.50 บาท แนวโน้มกำไรจะทยอยดีขึ้นจากต้นทุนเม็ดพลาสติกที่ถูกลงได้เริ่มใช้ในการผลิตใน Q1 ปี 62/63 (เมย.-มิ.ย.) วัตถุดิบยังมีแนวโน้มลดลงอีกและบาทแข็ง เป็นบวกต่อการนำเข้า ขณะที่ธุรกิจ EPP หันมาเน้นตลาด Food packaging ทำให้มาร์จิ้นไม่ถูกกดเหมือนก่อนและมีคำสั่งซื้อเข้ามาเรื่อย ๆ ด้านบ.ย่อย TJM ยังเป็นตัวฉุด โดยผู้บริหารคาดปีนี้ขาดทุนแต่ลดลงจากปีก่อน ขณะที่ฟินันเซียฯคาดคาดกำไร EPG ปี 62/63 เพิ่มขึ้น 11% เป็น 1 พันล้านบาท
  • STEC (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 32.50 บาท จากความสามารถในการทำกำไรที่เข้าสู่ระดับปกติ และฐานะการเงินที่อยู่ในเกณฑ์ดี มีเงินสดในมือกว่า 10,000 ล้านบาท พร้อมกับศักยภาพและโอกาสในการรับงานจากโครงการต่างๆ ที่ STEC มีแผนเข้าร่วมประมูล ภายใต้แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ เพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ คาดยังเป็นปัจจัยหนุนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดโครงการต่างๆ ทยอยเปิดประมูลตั้งแต่ H2/62 เป็นต้นไป คาด STEC เป็น 1 กลุ่มผู้รับเหมาฯ ที่ได้รับประโยชน์ดังกล่าว ภายใต้ Backlog ของ STEC ล่าสุด ยังอยู่ในระดับสูง เกือบ 100,000 ล้านบาท คาดเพียงพอต่อการรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 4 ปีข้างหน้า ทำให้ STEC สามารถรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการเปิดประมูลโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐฯ พร้อมกับผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจาก Backlog ข้างต้น ขณะที่ STEC คาดรับงานใหม่ในปี 62 ประมาณ 35,000 ล้านบาท ทำให้คาด Backlog สิ้นปี 62 ยังทรงตัวในระดับสูง 100,000 ล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ