ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร JMT ที่ระดับ "BBB" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 21, 2019 11:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ที่ระดับ "BBB" โดยอันดับดับเครดิตองค์กรของบริษัทมีความเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. เจมาร์ท (JMART) จากการที่บริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักสำคัญของบริษัทเจมาร์ท ซึ่งเห็นได้จากการที่บริษัทสร้างกำไรในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญให้แก่กลุ่มและความเชื่อมโยงทางธุรกิจที่มีความใกล้ชิดกับบริษัทเจมาร์ท

อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทยังสะท้อนถึงการเติบโตที่สม่ำเสมอของรายได้ ตลอดจนการลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารที่มีอย่างต่อเนื่อง และความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากการที่ลูกหนี้ของบริษัทเป็นกลุ่มที่มีฐานรายได้ต่ำ เมื่อผนวกกับสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและภาวะเศรษฐกิจที่มีความอ่อนไหวแล้วจึงมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ดังกล่าวได้ ในขณะที่เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทได้เริ่มขยายสู่ธุรกิจใหม่คือธุรกิจประกันภัยซึ่งความสำเร็จในธุรกิจดังกล่าวยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ผลต่อไป

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักของกลุ่มเจมาร์ท ทริสเรทติ้งพิจารณาเห็นว่าบริษัทเป็นธุรกิจหลักที่สำคัญของกลุ่มเจมาร์ทเนื่องจากบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกในด้านการติดตามหนี้ซึ่งเป็นบทบาทที่สำคัญต่อนโยบายของกลุ่มเจมาร์ท

บริษัทยังประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย โดยบริษัทสร้างกำไรให้แก่บริษัทแม่ในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เฉพาะในไตรมาสแรกของปี 2562 บริษัทก็สร้างกำไรสุทธิให้แก่บริษัทแม่ถึง 46% ของกำไรสุทธิรวมของกลุ่ม

ในฐานะเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้น 56% โดยบริษัทเจมาร์ท บริษัทมีบทบาทสนับสนุนธุรกิจโดยรวมของกลุ่มด้วยการให้บริการจัดเก็บและติดตามหนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ทำการขยายบริการและฐานลูกค้าโดยใช้ฐานข้อมูลลูกค้าของกลุ่มเจมาร์ทอีกด้วย

ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทมีรายได้จากธุรกิจหลักที่เติบโตขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 1,884 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้หลัก ๆ ของบริษัทมาจากการเรียกเก็บหนี้จากหนี้ที่รับซื้อมาซึ่งคิดเป็น 79% รวมทั้งจากค่าบริการติดตามเร่งรัดหนี้สินซึ่งคิดเป็น 15% และจากธุรกิจประกันซึ่งคิดเป็น 5% ของรายได้รวมในปี 2561

บริษัทมีกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น 21% เป็น 480 ล้านบาทในปี 2561 จาก 396 ล้านบาทในปี 2560 กำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 142 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทค่อนข้างแข็งแกร่งโดยได้รับแรงเสริมจากการเติบโตของธุรกิจหลักทั้ง 2 ประเภท ได้แก่ การให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้สินและการซื้อหนี้เข้ามาบริหาร เงินทุนจากการดำเนินงาน (รวมค่าตัดจำหน่ายเงินลงทุนในหนี้ด้อยคุณภาพ) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 1,470 ล้านบาทในปี 2561 เมื่อเปรียบเทียบกับ 1,190 ล้านบาทในปี 2560 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทค่อนข้างผันผวนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทขึ้นอยู่กับรายได้จากการลงทุนซื้อหนี้เข้ามาบริหาร

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ระดับเกินกว่า 40% ต่อปีเอาไว้ได้ในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า โดยแรงผลักดันสำคัญในการเติบโตจะมาจากความสำเร็จในการจัดเก็บหนี้และการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพที่ซื้อเพิ่มเข้ามา

การซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารช่วยสนับสนุนการเติบโตของทั้งกลุ่ม

ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องต่อไปในธุรกิจซื้อหนี้เข้ามาบริหาร ทั้งนี้ บริษัทมีศักยภาพในการเติบโตในธุรกิจการลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อนำมาบริหาร ในปี 2561 บริษัทได้ซื้อหนี้เข้ามาบริหารคิดเป็นมูลค่า 21,003 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนไปจำนวน 2,583 ล้านบาท (โดยมีส่วนลด 88.0%) และในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 บริษัทยังได้ซื้อหนี้อีกจำนวนหนึ่งที่มูลค่า 687 ล้านบาทโดยใช้เงินลงทุนไป 341 ล้านบาท (มีส่วนลด 50.0%) ด้วย การมีส่วนลดน้อยลงนั้นเนื่องจากบริษัทได้ซื้อหนี้ที่มีหลักประกันเป็นสัดส่วนที่มากขึ้น บริษัทมีเงินลงทุนคงค้างในสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ซื้อมาจำนวนทั้งสิ้น 5,927 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2562

บริษัทมีรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากหนี้ที่รับซื้อมาบริหารคิดเป็นมูลค่าจำนวน 1,480 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวดีขึ้นถึง 33% จากปี 2560 ทำให้บริษัทมีรายได้จากธุรกิจนี้จำนวน 419 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2562 ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราความสำเร็จโดยเฉลี่ยซึ่งคิดจากการเรียกเก็บหนี้ต่อการลงทุน ณ เดือนมีนาคม 2562 อยู่ที่ระดับ 94% ของเงินลงทุนสะสมในการซื้อหนี้เข้ามาบริหาร

ความเชี่ยวชาญในการติดตามหนี้ช่วยสนับสนุนการเติบโตและเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัท

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทจะรักษารายได้จากค่าบริการติดตามเร่งรัดหนี้สินให้อยู่ในระดับคงที่ต่อไปได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า การมีฐานข้อมูลลูกค้าจำนวนมากจากการติดตามหนี้มากว่า 20 ปีมีส่วนทำให้บริษัทเติบโตและมีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ บริษัทยังคงรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้สิน นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถรักษาลูกหนี้ที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามจากผู้ว่าจ้างโดยคิดเป็นงบดุลต้นทุนคงค้างที่ประมาณ 20,000 ล้านบาทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาด้วย

กลุ่มลูกค้าหลักที่บริษัทได้รับการว่าจ้างให้บริหารหนี้และติดตามเร่งรัดหนี้สินประกอบด้วยสถาบันการเงิน ผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล และอื่น ๆ โดยสัดส่วนหลักของมูลหนี้ที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามยังคงเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่มีหลักประกันซึ่งบริษัทมีความชำนาญและมีผลงานเป็นที่ยอมรับ ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2561 สัดส่วนลูกหนี้ที่บริษัทรับผิดชอบประกอบด้วยธุรกิจในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลในสัดส่วน 39% กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 25% กลุ่มสินเชื่อบ้าน 14% กลุ่มบัตรเครดิต 12% และหนี้สินเชื่ออื่น ๆ อีก 10%

รายได้จากค่าบริการติดตามเร่งรัดหนี้สินของบริษัทมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 15% ของรายได้รวมในปี 2561 โดยเพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อนหน้าเป็น 289 ล้านบาทอันเนื่องมาจากอัตราค่าบริการและความสำเร็จในการจัดเก็บหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น รายได้จากการให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้สินของบริษัทอยู่ที่ 90 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2562 ทั้งนี้ อัตราค่าบริการติดตามเร่งรัดหนี้สินปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 9.3% ในปี 2560 และ 10.6% ในไตรมาสแรกของปี 2562 จาก 8.3% ในปี 2560 อันเป็นผลเนื่องมาจากอายุของลูกหนี้ที่ตามเก็บนั้นค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตาม อัตราการให้บริการจัดเก็บหนี้ก็ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 10.4% ในระหว่างปี 2560-2561 จาก 11.4% ในไตรมาสแรกของปี 2562 เปรียบเทียบกับ 7.4% ในปี 2559

ภาระหนี้เพิ่มขึ้นแต่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ภาระหนี้ของบริษัทอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อขยายธุรกิจการลงทุนซื้อหนี้เข้ามาบริหาร เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 41% เป็น 3,340 ล้านบาทในปี 2561 จากสิ้นปี 2560 อย่างไรก็ตาม เงินทุนจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากส่งผลทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้ว (รวมค่าตัดจำหน่ายเงินลงทุนในหนี้ด้อยคุณภาพ) ต่อเงินกู้รวมลดลงมาอยู่ที่ 44% ในปี 2561 จาก 50% ในปี 2560 และปรับขึ้นเล็กน้อยเป็น 56% ในไตรมาสแรกของปี 2562 (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) บริษัทมีอัตราส่วนกำไรที่ปรับปรุงแล้วก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ในระดับ 13-14 เท่าในปี 2561 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2562

ในอนาคตบริษัทมีแผนการใช้เงินลงทุนประมาณปีละ 4,500 ล้านบาทในการซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลทำให้ภาระหนี้ของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าได้ในช่วงดังกล่าว บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนอยู่ที่ 1.4 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2562 ซึ่งต่ำกว่าข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ของบริษัทที่ 3 เท่า

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ในระยะ 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทดังต่อไปนี้

ลูกหนี้คงค้างที่บริษัทได้รับมอบหมายให้ติดตามจากผู้ว่าจ้างจะมีมูลค่าเฉลี่ยคงอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี

จำนวนหนี้ที่บริษัทจะซื้อเข้ามาบริหารคิดเป็นมูลค่าคงอยู่ที่ 15,000-20,000 ล้านบาทต่อปี

สัดส่วนต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ในช่วง 36%-42%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงมีสถานะเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มเจมาร์ทและยังคงมีบทบาทสำคัญในการติดตามและจัดเก็บหนี้ที่สอดคล้องกับนโยบายโดยรวมของกลุ่มอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดและสร้างผลประกอบการที่น่าพอใจได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารและการติดตามหนี้จะยังคงเติบโตในอัตราที่สม่ำเสมอโดยมีผลพิสูจน์ความสำเร็จจากการมีผลประกอบการทั้งในด้านการดำเนินงานและการเงินที่อยู่ในระดับน่าพอใจ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะเครดิตของบริษัทเจมาร์ทมีการเปลี่ยนแปลง หรือสถานะของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเจมาร์ทนั้นเปลี่ยนแปลงไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ