PTT ลดเป้ากำไรปีนี้จากสเปรดธุรกิจโรงกลั่น-ปิโตรฯยังอ่อนแอ ,ถกบอร์ด Q3/62 เคาะนำ PTTOR เข้าตลท.ก่อนยื่นไฟลิ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 26, 2019 08:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ปตท.ปรับลดเป้าหมายกำไรในปีนี้ลงเล็กน้อยจากเป้าหมายเดิมในช่วงต้นปี หลังจากมองว่าธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมียังคงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ทำให้ส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและน้ำมันยังคงอ่อนแอ ซึ่งจะกดดันต่อผลประกอบการของบมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ซึ่งเป็นบริษัทลูก แม้แนวโน้มของธุรกิจบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) จะมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการเข้ามา แต่ก็ยังขึ้นกับทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกด้วยทำให้น่าจะยังไม่สามารถเข้ามาชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้ อีกทั้งพอร์ตธุรกิจปิโตรเคมีของบริษัทในกลุ่มก็มีขนาดใหญ่ด้วย

อย่างไรก็ตาม ปตท.คาดว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และเฉลี่ยทั้งปี 62 จะอยู่ในช่วง 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากภาวะโอเวอร์ซัพพลายที่ยังมีอยู่ ขณะที่ตลาดอยู่ระหว่างปรับตัวเพื่อเข้าสู่จุดสมดุลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า หลังเผชิญกับสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ แต่ก็คาดว่าน่าจะเป็นปัญหาระยะสั้นและสามารถตกลงกันได้ อีกทั้งตลาดยังมีการปรับตัวเพื่อรับเกณฑ์ใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% ในปี 63

ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบยืนอยู่ในระดับ 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามเป้าหมาย ก็คาดว่ารายได้ในปีนี้จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 2.34 ล้านล้านบาท เพราะแม้ราคาน้ำมันจะดีขึ้นแต่ก็มีโรงงานของบริษัทในธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีมีแผนหยุดซ่อมบำรุงทำให้กระทบต่อปริมาณการผลิต

"บอร์ดมีการทบทวนในช่วงกลางปีปรับเป้ากำไรลงเล็กน้อย ไม่เยอะ จากที่ประเมินไว้ในช่วงต้นปี เพราะเราจะต้องทำให้เราแข็งแรงขึ้น ใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ลดอะไรที่ไม่จำเป็นอย่างการบริหารจัดการภายใน เช่น ค่าเดินทาง การจัดอบรม"นายชาญศิลป์ กล่าว

นายชาญศิลป์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามปตท.ได้ปรับแผนลงทุนในปีนี้ใหม่ โดยเพิ่มงบลงทุนปีนี้อีกราว 3.32 หมื่นล้านบาท เป็น 1.04 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการปรับเพิ่มในธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรม เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ที่คาดว่าจะเซ็นสัญญากับรัฐบาลในราวเดือนก.ค.นี้ รวมถึงการเพิ่มทุนในบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เพื่อรักษาสัดส่วนการลงทุนและก็มีโอกาสที่จะเพิ่มการถือหุ้นใน GPSC อีกเล็กน้อย ตลอดจนใช้ลงทุนในรูปแบบ Venture Capital เพื่อการเติบโตในระยะยาว

อย่างไรก็ตามปตท.จะมีการทบทวนงบประมาณลงทุนตามแผนลงทุน 5 ปีอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะมีเรื่องสำคัญ 2-3 เรื่องที่เกึ่ยวเนื่องกับพลังงานรอนำเสนอคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาต่อไปด้วย

นอกจากนี้ปตท.จัดทัพธุรกิจเพื่อส่งบริษัทในกลุ่มเป็นผู้นำเข้าไปบุกตลาดในแต่ละพื้นที่ อย่างในตะวันออกกลางและเพื่อนบ้านก็จะใช้ PTTEP เป็นผู้บุกเบิก สหรัฐอเมริกา ก็จะมี PTTGC เป็นผู้นำ ส่วนเวียดนามมี TOP เป็นผู้นำ ขณะที่บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (PTTOR) จะเป็นผู้นำบุกตลาดในลาว กัมพูชา ฟิลิปินส์ จีนตอนใต้ และประเทศเพิ่อนบ้าน

ทั้งนี้ ล่าสุด PTTOR จับมือกับพันธมิตร เพื่อร่วมทุนธุรกิจคลังและค้าส่งน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และร่วมทุนธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและค้าปลีกในเมียนมา ทำให้ปตท.ยังคงจะต้องผลักดันการนำ PTTOR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเตรียมนำรายละเอียดเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการเพื่ออนุมัติในไตรมาส 3/62 หลังจากนั้นจะยื่นแบบเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ต่อไป

"เรามีการขยายน้ำมันและนอนออยล์ไปต่างประเทศ ต่อไปเมื่อเขาเข้าตลาดก็จะขยายของเขาเอง ปัจจุบันอยู่ในกระบวนการเข้าตลาด เป็นหน้าที่ที่ผมจะต้องพยายามนำเข้าให้ได้ในเวลาที่เหมาะสม...เรากำลังทำกระบวนการเพื่อเตรียมยื่นต่อก.ล.ต. และรอดูสถานการณ์ตลาดด้วยว่าเป็นอย่างไร เรายังเดินหน้าอยู่ ตอนนี้ก็รอเข้าบอร์ดน่าจะเป็นช่วงไตรมาส 3"นายชาญศิลป์ กล่าว

นายชาญศิลป์ กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจไฟฟ้าซึ่งมี GPSC เป็นแกนหลักนั้นก็ยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในภูมิภาคเอเชียต่อเนื่อง นอกเหนือจากปัจจุบันที่มีการลงทุนอยู่ในลาว และอยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจโรงไฟฟ้าตามรูปแบบ Gas to Power ในเมียนมา ซึ่งเป็นการต่อยอดนำก๊าซฯมาผลิตไฟฟ้าในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม หลังจากที่มี PTTEP เป็นผู้นำเข้าไปลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติในเมียนมาอยู่แล้ว โดยคาดว่าโครงการในเมียนมาจะมีความชัดเจนในช่วงครึ่งหลังปีนี้

นอกจากนี้ GPSC ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงไฟฟ้าจากขยะชุมชน ขนาด 9.8 เมกะวัตต์ (MW) ในจ.ระยอง เพื่อขายไฟฟ้าเข้าระบบภายในสิ้นปี 62 โดยเป็นการนำขยะจากพื้นที่ในจ.ชลบุรี ,ระยอง และจันทบุรี มาใช้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งเมื่อประสบความสำเร็จในพื้นที่แล้ว กลุ่มปตท.ก็มองโอกาสนำรูปแบบโมเดลธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะดังกล่าวไปใช้ในพื้นที่อื่นที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้ามาก โดยอาจจะทำให้มีการรวมตัวเป็นคัสเตอร์จังหวัดเพื่อรวบรวมปริมาณขยะให้มีเพียงพอมาใช้ผลิตไฟฟ้าต่อไป

ส่วนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศนั้น ปัจจุบันปตท.มีโอกาสที่จะได้พัฒนาโครงการท่าเรือมาบตาพุด ระยะ3 และโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะ 3 ซึ่งเป็นโครงการที่มีการลงทุนสูง แต่ก็เป็นโครงการที่ปตท.มีความเชี่ยวชาญ ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนั้น ปตท.ไม่มีความเชี่ยวชาญ หากผู้ชนะการประมูลโครงการดังกล่าวเชิญชวนให้ปตท.เข้าร่วมลงทุนด้วย ปตท.ก็จะต้องนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อหารือต่อไป

นายชาญศิลป์ กล่าวอีกว่า ด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) นั้น ปัจจุบันปตท.อยู่ระหว่างการพิจารณาแผนธุรกิจหลังจากความต้องการใช้ลดลง โดยปตท.จะยังคงรักษาสถานีบริการที่อยู่ตามแนวท่อก๊าซฯเพื่อเป็นสถานนีหลัก และจะปิดสถานีบริการในบางพื้นที่ที่อยู่นอกแนวท่อก๊าซฯและไม่มีศักยภาพ เพื่อทำให้ธุรกิจมีความเข้มแข็งมากขึ้น

นายชาญศิลป์ กล่าวอีกว่า สำหรับภาพของกลุ่มปตท.ในอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะสร้างการเติบโตด้านพลังงานอย่างยั่งยืนให้กับประเทศ โดยจะมีปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซฯเพิ่มขึ้นจากการลงทุนของ PTTEP ,มีการขยายธุรกิจ Gas to Power ให้มากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ,ขยายธุรกิจร้านกาแฟคาเฟ่ อเมซอน สถานีบริการน้ำมัน และ LPG ในกัมพูชา ลาว เมียนมา และจีน ,มีผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเกรดพิเศษมากขึ้น , มีน้ำมันที่สะอาดใช้ทั้ง B10 และ B20 ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิด Bio Economy ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรได้อีกทางหนึ่งด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ