บลจ.ทาลิส มองข้ามช็อตหุ้นไทยปี 63 ทำ "All Time High" ลุ้นเป้า 2,000 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 18, 2019 14:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกทรงตัวในระดับต่ำ และมีโอกาสปรับตัวลดลง เป็นตัวแปรหลักสนับสนุนอัพไซด์ของการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยประเมินว่าตลาดหุ้นไทยในปี 63 จะกลับขึ้นมาซื้อขายกันบน P/E ในกรอบ 16-18 เท่า ทำให้มีกรอบการเคลื่อนไหว 1,700-2,000 จุด โดยอ้างอิงตามสมมติฐานกำไรบริษัทจดทะเบียนโดยรวมปี 63 จะเติบโต 7-10% มีกำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้นเป็น 110-115 บาท/หุ้น จากปีนี้คาดเติบโต 5-7%

ปัจจุบันธนาคารกลางของประเทศหลักทั่วโลกส่งสัญญาณใช้นโยบายทางการเงินผ่อนคลาย โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ย คาดจะเป็นเหตุผลให้ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปี 63

"ภายใต้บรรยากาศดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มต่ำลง ตามประวัติศาสตร์แล้วดัชนีหุ้นไทยมักซื้อขายกันที่ P/E สูงกว่า 15 เท่า คาดว่า P/E เหมาะสมในปีหน้าควรจะประมาณ 16-18 เท่า ถ้าคำนวณจากกำไรตลาดฯจากสมมติฐานแล้วซื้อขายหุ้นบน P/E 18 เท่า จะเปิดอัพไซด์ของดัชนีฯขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือแตะ 2,000 จุด โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมากรอบดัชนีฯแกว่งตัว 1,500-1,800 จุด แต่เชื่อว่าในปีหน้าเป็นต้นไป ตลาดจะขยับฐานสูงขึ้นกว่าเดิม" นายประภาส กล่าว

สำหรับแนวโน้มกระแสเงินลงทุนต่างชาติในครึ่งหลังปีนี้ นายประภาส ยอมรับว่า มีโอกาสไหลเข้าในตลาดหุ้นไทยได้ถึง 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันเข้ามาแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท จากก่อนหน้านี้เงินทุนต่างชาติไหลออกไปต่อเนื่อง 5 ปีกว่า 6 แสนล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนมีความคาดหวังว่าการตั้งคณะรัฐมนตรีแล้วเสร็จ จะมีการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไป ประกอบกับค่าเงินบาทส่งสัญญาณแข็งค่าต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสนับสนุนนักลงทุนต่างชาตินำเงินมาลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนมากขึ้น

"จากผลของเงินไหลเข้ามาในตลาดเงินและตลาดหุ้นบ้านเรา มีความกังวลว่าทุนสำรองของประเทศอาจจะเพิ่มขึ้นไปทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ทำให้นักเก็งกำไรเข้ามาเล่นกับค่าเงินบาท เพราะคาดมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง โดยเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในปี 2012-2013 ที่ค่าเงินบาทแข็งค่ารวดเร็วลงมาต่ำกว่า 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ในรอบนี้หากเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าไม่หยุด มีความเป็นไปได้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าลงมาต่ำกว่า 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แน่นอนว่าจะกระทบกับธุรกิจส่งออกและท่องเที่ยว ที่เป็นรายได้หลักของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจอาจจะเติบโตไม่ได้อย่างที่คาด แต่เชื่อว่ารัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย จะต้องเข้ามาดูแลอัตราแลกเปลี่ยน หรือมีมาตรการใดออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไปจนมากระทบผู้ส่งออก"นายประภาส กล่าว

นายประภาส กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังจะแกว่งตัวในกรอบ 1,700-1,800 จุด เป็นการขยับฐานขึ้นจากครึ่งปีแรกแกว่งตัวในกรอบ 1,550-1,700 จุด อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าระหว่างที่ดัชนีปรับตัวขึ้นยังมีความผันผวนอยู่บ้างจากความกังวลประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นปัจจัยเสี่ยงต้องติดตามในระยะยาว แม้จะกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจโลก แต่เชื่อว่ารัฐบาลหลายประเทศ มีกระสุนเพียงพอกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่ในมุมมองผลกระทบกับความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นทั่วโลกนั้น มองว่าปัจจัยเสี่ยงสงครามการค้าได้ซึมซับข่าวเชิงลบมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้น ถ้ารัฐบาลหลายประเทศ ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวในระยะถัดไป แนวโน้มสินทรัพย์เสี่ยงและสินค้าโภคภัณฑ์มีโอกาสกลับมา Outperform ได้ดีในปี 63

สำหรับจังหวะที่นักลงทุนควรเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้น ควรเป็นช่วงบริษัทจดทะเบียนรายงานกำไรไตรมาส 2/62 ประมาณเดือน ก.ค.-ส.ค.นี้ เนื่องจากมีโอกาสออกมาในทิศทางเชิงลบ จึงเป็นโอกาสเหมาะสมเข้าสะสมหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว ให้น้ำหนักกับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศเป็นหลัก เช่น กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทให้เช่าและนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มขนส่ง เป็นต้น

https://youtu.be/1vUxWVcHdPk


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ