"เอสทีซี คอนกรีตฯ"เดินสายโรดโชว์สิ้น ต.ค.นี้ก่อนลุยเข้าเทรด mai ใน Q4/62 ไม่หวั่นตลาดผันผวนมั่นใจพื้นฐานดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 25, 2019 17:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเอกชัย ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ (STC) คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในไตรมาส 4/62 หลังเตรียมเดินสายให้ข้อมูลแก่นักลงทุน (โรดโชว์) ที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 30 ต.ค.62 โดยมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องด้วยจุดเด่นของบริษัทฯ คือ การมีผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่หลากหลาย และมีโรงงานผลิตอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา ครอบคลุมพื้นที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด หรือเรียกได้ว่าเป็นอันดับ 1 ในพื้นที่เมืองพัทยา

STC เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป (Pre-cast Concrete) ทุกประเภท และคอนกรีตผสมเสร็จ (Ready-Mixed Concrete) ภายใต้เครื่องหมายการค้า "STC" บริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 148 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยมี บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และแกนนำการเสนอขายหลักทรัพย์

บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันทางการเงินบางส่วน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน โดยบริษัทมีแผนการลงทุนในโครงการต่อเนื่อง (ระยะที่ 3) เพื่อขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่จะขยายตัวในอนาคต โดยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มประมาณ 400 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน คาดจะใช้เงินลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเริ่มลงทุนได้ในปี 64

นายเอกชัย กล่าวว่า แม้ว่าภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้จะค่อนข้างผันผวน แต่บริษัทมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ช่วงนั้น เนื่องจากมั่นใจในพื้นฐานของบริษัท

ปัจจุบัน STC มีโรงงานผลิต 4 แห่ง ได้แก่ พัทยา 1, พัทยา 2, หนองปรือ และนาวัง โดยมีกำลังการผลิต 236,250 ลบ.ม. หรือคิดเป็นอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย 50-60% แบ่งเป็นกำลังการผลิตคอนกรีตสำเร็จรูป 111,450 ลบ.ม. และกำลังการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จประมาณ 124,800 ลบ.ม.

บริษัทได้รับอานิสงส์จากโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เนื่องด้วยในช่วงปี 60-64 รัฐบาลมีแผนการผลักดันโครงการภายใต้ EEC ซึ่งก่อให้เกิดการลงทุนบนพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าว ตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นไป มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่สูงจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ได้แก่ โครงการถนน เช่น โครงการปรับปรุงทางหลวงและโครงข่ายถนนสายรองในพื้นที่รอบๆ อู่ตะเภา มาบตาพุด และถนนเลียบชายฝั่งทะเลระยอง-ชลบุรี เพื่อเชื่อมการเดินทางและรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจใน EEC

ปัจจุบัน บริษัทได้มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปให้แก่ผู้รับเหมาที่ได้รับงานก่อสร้างโครงข่ายถนนในพื้นที่ชลบุรีบางส่วนแล้ว เช่น ท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กและบ่อพัก เป็นต้น

นอกจากนั้น ยังมีโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งแบ่งระยะเวลาการก่อสร้างเป็นการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 5 ปี และการก่อสร้างท่าเทียบเรือและติดตั้งอุปกรณ์อีก 3 ปี คาดว่าจะเสร็จและสามารถเปิดใช้งานได้ภายในปี 68 ปัจจุบันบริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีต ได้แก่ ท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กและบ่อพักน้ำ เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรงหล่อสำเร็จ เป็นต้น ให้กับผู้รับเหมาที่ได้รับงานก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าวบางส่วนแล้ว

โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อ 3 สนามบินที่จะก่อสร้างเส้นทางรถไฟกว่า 160 กิโลเมตร รวมจะใช้ระยะเวลาในการออกแบบและก่อสร้างประมาณ 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 61 และใช้ปูนซีเมนต์กว่า 8 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งถือเป็นโครงการเป้าหมายของบริษัท และโครงการภาครัฐที่มีนโยบายการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งจะทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีแผนแม่บทการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในเขตพื้นที่เมืองพัทยา แบ่งเป็น 3 โครงการ ได้แก่ โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม บริเวณรอบนอกของเมืองพัทยา, โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่เลียบชายฝั่งทะเลหรือชายหาดในเมืองพัทยา, โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในที่ลุ่มต่ำภายในเมืองพัทยา มูลค่างานประมาณ 26,000 ล้านบาท (ระยะ 7 ปี) ซึ่งบริษัทคาดหวังได้รับงานดังกล่าว คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 63

"เราถือว่าเราเป็นเบอร์ 1 ของพื้นที่เมืองพัทยา จากผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่หลากหลาย เช่น เสาเข็ม แผ่นพื้น และท่อ รวมถึงโรงงานผลิตที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และกำลังการผลิตที่มากที่สุด โดยเราก็มีเป้าหมายในระยะ 5 ปีจากนี้ จะครอบคลุมพื้นที่โซนภาคตะวันออกทั้งหมด หรือตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์คอนกรีตในภาคตะวันออก" นายเอกชัย กล่าว

ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัท มองว่าน่าจะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากงานภาครัฐและเอกชนที่คาดจะทยอยออกมามากขึ้นในปี 63 เป็นต้นไป โดยรายได้ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง (59-61) เติบโตเฉลี่ย 5-10% และปีนี้คาดว่ารายได้ก็น่าจะเติบโตดีกว่าปีก่อนที่ทำได้ 380.95 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิก็จะเติบโตไปตามรายได้ โดยเฉพาะจากการขายผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่มีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) สูง โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป ประกอบด้วย ท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก และบ่อพักน้ำ, เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรงหล่อสำเร็จ, แผ่นพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรงหล่อสำเร็จ, คานสำเร็จรูป ผนังสำเร็จรูป รั้วสำเร็จรูป อิฐบล็อคมวลเบา และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เป็นต้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ