RML ทุ่มลงทุนกว่า 2-3 หมื่นลบ.ในช่วงปี 63-65 รุกขยายอสังหาฯ-อาหารทั้งในปท.-ตปท. พร้อมดันรายได้ประจำเพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 4, 2019 13:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในช่วง 2-3 ปีนี้ (ปี 63-65) กว่า 2-3 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้ลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการขยายสาขาธุรกิจอาหาร ทั้งร้านบ้านหญิง และ DINK DINK ในต่างประเทศ

บริษัทวางแผนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมราคาขายตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยจะเปิดตัวโครงการใหม่ปีละ 1-2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปี 63 จะเปิดตัวคอนโดมิเนียม 1-2 โครงการในกรุงเทพฯ ทำเลสุขุมวิท ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ทั้ง 2 แห่ง หนึ่งในนั้นเป็นโครงการคอนเส็ปต์ใหม่ คือ คอนโดมิเนียม สุขุมวิท 38 เป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น มูลค่า 8.2 พันล้านบาท

ส่วนอีก 1 โครงการยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลสุขุมวิทตอนกลาง ปัจจุบันบริษัทได้เจรจาซื้อที่ดินแล้ว และเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการ เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถพร้อมเปิดตัวได้ในปี 63 หรือไม่

นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมที่จะขยายการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมในต่างประเทศในปี 63 ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรในต่างประเทศ จะเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศได้มากขึ้น และเป็นการเพิ่มโอกาสดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยของบริษัทให้มากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มช่องทางการขายในต่างประเทศจากการเปิดโชว์รูมเริ่มจากสิงคโปร์ ที่ได้เปิดโชว์รูมขายโครงการ The Estelle พร้อมพงษ์ ในช่วงแรก และจะนำโครงการ The Loft ราชเทวีมาขายที่โชว์รูมดังกล่าวต่อไป รวมทั้งวางแผนจะเปิดโชว์รูมในประเทศจีนในปี 63

ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าของบริษัทจะแบ่งเป็น ลูกค้าชาวไทย 50% และลูกค้าชาวต่างชาติ 50% ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในเอเชีย

นายไลโอเนล ลี ยังกล่าวถึงการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ว่า หลังจากบริษัทได้เริ่มพัฒนาโครงการอาคารสำนักงาน One City Centre เพลินจิต มูลค่า 8.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 5.5 พันล้านบาท และค่าเช่าที่ดิน 3.3 พันล้านบาท โดยมีพื้นที่เช่า 61,000 ตารางเมตรไปแล้วนั้น ในช่วงไตรมาส 1/63 บริษัทเตรียมจะลงทุนพัฒนาอาคารสำนักงานอีก 1 แห่ง พื้นที่เช่า 6 หมื่นตารางเมตร ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และจะทำให้พื้นที่เช่าของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ตารางเมตรภายในปี 63 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ด้านธุรกิจโรงแรม ยังมีแผนพัฒนาโรงแรมใหม่เพิ่ม 2 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ได้แก่ โรงแรม KITCH Hotel ตั้งอยู่ด้านหน้าคอนโดมิเนียม เดอะ ริเวอร์ เจริญนคร จำนวนห้องพัก 72 ห้อง ราคาห้องพัก 1,400-1,600 บาท/คืน เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 63 และจะมีการลงทุนโรงแรมอีก 1 แห่ง ทำเลสุขุมวิท จำนวนห้องพัก 220 ห้อง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 66

บริษัทตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปี หรือภายในปี 66 คาดว่าธุรกิจโรงแรมจะมีห้องพักรวม 1,000 ห้อง โดยการผลักดันการเพิ่มจำนวนห้องโรงแรมของบริษัทนอกจากจะมีการลงทุนเองแล้วนั้น ยังมองไปถึงการนำแบรนด์โรงแรมของบริษัทเข้าไปรับบริหารให้กับเจ้าของโรงแรมที่สนใจ ซึ่งจะเป็นการต่อยอดการดำเนินธุรกิจโรงแรมในอนาคต

ด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในเครือร้านอาหารบ้านหญิง บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มขึ้น โดยเน้นในภูมิภาคเอเชียเป็นหลักในช่วงแรก ปัจจุบันได้มีการขยายสาขาร้านอาหารบ้านหญิง และร้าน DINK DINK ไปแล้วในประเทศสิงคโปร์ แบรนด์ละ 1 สาขา ส่วนในปี 63 มีแผนขยายสาขาเข้าไปในไต้หวันและจีน โดยที่ร้านบ้านหญิงจะตั้งสาขาในไต้หวัน และเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีน ขณะที่ร้าน Dink Dink จะตั้งสาขาที่ไต้หวันก่อนเพื่อทดลองตลาด ก่อนจะขยายไปยังจีนต่อไป เน้นประเทศและหัวเมืองแหล่งทำงานและท่องเที่ยวเป็นหลัก

นอกจากนั้น บริษัทยังมองหาโอกาสในการขยายสาขาร้านอาหารบ้านหญิง และ DINK DINK เข้าไปในยุโรป และสหรัฐฯ แต่ยังคงเป็นแผนในอนาคต เพราะบริษัทต้องการเน้นการขยายสาขาในเอเชียให้ครอบคลุมและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีก่อน ซึ่งการลงทุนในธุรกิจร้านอาหารจะเข้าไปร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิตและการทางอาหารของคนชาตินั้นๆ เป็นอย่างดี และทำให้สามารถเลือกสรรเมนูและรสชาติของอาหารที่นำมาขายได้อย่างเหมาะสมในแต่ละประเทศ และการลงทุนจะใช้ระยะเวลาในการคืนทุน 2 ปี

ทั้งนี้ การลงทุนของบริษัทตามแผนที่วางไว้นั้นจะช่วยสนับสนุนการกระจายรายได้ของบริษัทให้มีความเหมาะสม โดยในช่วง 5 ปีนี้ หรือภายในปี 66 จะมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากรายได้ประจำเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30% ของรายได้รวมที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท โดยรายได้ประจำจะมาจากธุรกิจอาคารสำนักงาน 1 พันล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 1 พันล้านบาท และธุรกิจอาหาร 1 พันล้านบาท จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ประจำไม่ถึง 10% ขณะที่รายได้ของธุรกิจพัฒนาและขายที่อยู่อาศัยจะปรับลดลงมาที่ 70% จากปัจจุบันมีสัดส่วนสูงกว่า 90%

"งบริษัทมองว่าเป็นสัดส่วนรายได้ที่มีความเหมาะสม และช่วยให้บริษัทมีการเติบโตได้อย่างยั่งยืน จากการที่มีธุรกิจที่หลากหลายและเกี่ยวเนื่องกัน"นายไลโอเนล ลี กล่าว

สำหรับทิศทางผลประกอบการในปี 62 บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5 พันล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกสามารถทำรายได้แล้วเกือบ 50% ของเป้าหมายทั้งปี และในช่วงครึ่งปีหลังจะทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่เข้ามาราว 3.5-4 พันล้านบาท จากคอนโดมิเนียม The Loft อโศก และ The Loft สีลม ซึ่งในปัจจุบันทั้ง 2 โครงการมียอดขายแล้วกว่า 90% หรือคิดเป็นมูลค่าการขายรวมกว่า 8 พันล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ