(เพิ่มเติม) ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด 4 จนท.รัฐ-STEC พร้อมผู้บริหารกรณีเรียกสินบนแลกให้เรือขนส่งอุปกรณ์โรงไฟฟ้าขนอมเทียบท่า

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 13, 2019 14:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่รัฐ 4 ราย กรณีร่วมกันเรียกรับเงิน 20 ล้านบาทจากบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่รับว่าจ้างก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อแลกกับการอนุญาตให้ใช้ท่าเทียบเรือชั่คราวบริเวณโรงไฟฟ้า ตลอดจนให้เรือลำเลียงเข้าเทียบท่าเพื่อขนถ่ายชิ้นส่วนของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าโดยไม่ชอบ และชี้มูลความผิดบมจ.ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนต์ คอนสตรัคชั่น (STEC) รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ อีกสองราย ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งสี่รายในการกระทำความผิด

นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. กล่าวว่า การไต่สวนคดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนพ.ย.60 โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริง ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ

จากพยานหลักฐานข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อปี 56 บริษัทค้าร่วม (Consortium) ประกอบด้วย บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น และ STEC ได้รับว่าจ้างให้ดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวเป็นโรงไฟฟ้าของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (KEGCO) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ที่เป็นบริษัทเอกชนผู้ทำการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าทั้งหมดให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

ต่อมา ในเดือน ก.พ.58 เรือลำเลียง 3 ลำ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเทียบท่า เนื่องจากมีขนาดใหญ่เกินกว่ากำหนด เจ้าหน้าที่ของรัฐ 4 ราย ประกอบด้วย นาวาโท สาธิต ชินวรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขานครศรีธรรมราช, นายคณิน เมืองด้วง รองนายกเทศมนตรีตำบลท้องเนียน, นายอภิชาติ สวัสดิรัตน์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8 ตำบลท้องเนียน และ พันตำรวจโท สันติพงษ์ พันธ์สวัสดิ์ สารวัตรสถานีตำรวจน้ำ 4 กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจน้ำ ได้ร่วมกันเรียกรับเงิน 20 ล้านบาท จากผู้แทนของบริษัท มิตซูบิชิ ฮิตาชิ พาวเวอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่มาปฏิบัติงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อแลกกับการอนุญาตให้เรือลำเลียงชิ้นส่วนอุปกรณ์ก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากต่างประเทศสามารถเข้าเทียบท่าเทียบเรือชั่วคราวบริเวณโรงไฟฟ้าได้ แม้ว่าจะมีขนาดใหญ่เกินกว่ากำหนด

ขณะที่ผู้บริหารของบริษัท MHPS ตัดสินใจจ่ายเงินสินบน 20 ล้านบาท เพราะหากการขนส่งชิ้นส่วนเครื่องจักรเกิดการหยุดชะงักจะทำให้การก่อสร้างไม่ทันกำหนดเวลาการส่งมอบงาน และบริษัท MHPS จะต้องเสียค่าปรับตามสัญญาถึงวันละ 40 ล้านเยน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 11 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า STEC และผู้บริหารระดับสูงสองราย ได้แก่ นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ และนายราเกส กาเลีย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการส่วนงานปฏิบัติการ ได้ให้ความช่วยเหลือในการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐในการเรียกรับสินบนจากบริษัทญี่ปุ่น โดยมีการจัดทำสัญญาที่ไม่มีการจ้างงานจริงเพื่อให้ STEC จัดเตรียมสินบนเป็นเงินสด 20 ล้านบาท ต่อมาได้มอบเงินสินบนให้กับผู้แทนบริษัทญี่ปุ่นที่สำนักงานใหญ่ของ STEC และส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้ง 4 ราย ทำให้ช่วงเวลาเดียวกันเรือลำเลียงก็สามารถเทียบท่าได้ แม้จะไม่มีการแก้ไขเรื่องการขออนุญาตก่อสร้างท่าเทียบเรือให้ถูกต้องตามระเบียบของกรมเจ้าท่าแต่อย่างใด

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่าผู้ถูกกล่าวหามีมูลความผิด ดังนี้ กลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐ 4 ราย มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83

และสำหรับรายนายคณิน มีมูลเป็นความผิดอันเป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งได้ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 73 และส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐอีก 3 ราย มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

ส่วนกลุ่มผู้สนับสนุน ได้แก่ STEC รวมทั้งนายภาคภูมิ และนายราเกส มีมูลความผิดทางอาญา ฐานสนับสนุนเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86

ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ส่งคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 ราย และส่งเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับนาวาโท สาธิต, นายอภิชาติ และพันตำรวจโท สันติพงษ์ และส่งรายงานสำนวนการไต่สวน ไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจกับนายคณิน ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ