บลจ.กสิกรไทย มองหุ้นไทยปี 63 มีโอกาสปรับขึ้น 1,700 จุดหากสงครามการค้าคลี่คลาย, คงบริหาร LTF ต่อไปตามกลยุทธ์

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 26, 2019 17:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า มุมมองตลาดหุ้นไทยปลายปี 62 คาดว่าระดับดัชนีหุ้นไทย (SET Index) จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ (sideways) อย่างไรก็ดี ยังมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในปี 63 โดยมีปัจจัยสนับสนุน (1) ตลาดรับรู้ปัจจัยในด้านลบไปค่อนข้างมากแล้ว ในขณะที่ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นในระยะยาวยังมีความน่าสนใจมากกว่าสินทรัพย์อื่น รวมถึงสภาพคล่องในระบบที่ยังมีอยู่สูง (2) อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำทำให้ระดับ P/E ของตลาดสามารถอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตได้ และ (3) การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐจะมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า

"หากสถานการณ์สงครามการค้าคลี่คลายขึ้น มองว่าหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแตะ 1,700 จุด ด้วย Forward P/E ที่ 16.5 เท่า แต่หากพัฒนาการสงครามการค้าเป็นไปในทิศทางที่แย่ลง หุ้นไทยน่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,500 จุด ด้วย Forward P/E ที่ 14.5 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง"

นายวศิน กล่าวเพิ่มเติมว่า วันที่ 30 ธ.ค.62 จะเป็นวันสุดท้ายที่ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในกองทุน LTF เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนจากหุ้นไทยในระยะยาว ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นไป บลจ.กสิกรไทย ยังคงบริหารจัดการกองทุน LTF ทั้งหมด 8 กองทุนให้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ต่อไป พร้อมเปิด Sub Class ใหม่ เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับแผนการเปิด Sub Class ใหม่ของกองทุน LTF ในปี 63 บริษัทจะต้องดำเนินการจัดทำระบบเพื่อแยกผู้ลงทุนออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ลงทุนเดิม และกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ โดยต้องรอความชัดเจนของกฎหมายการเงินที่จะออกใหม่ในปี 63 ดังนั้น บริษัทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องระงับคำสั่งซื้อหน่วยลงทุนกองทุน LTF ชั่วคราว ก่อนที่จะเดินหน้าเปิดรับคำสั่งซื้อหน่วยลงทุนกองทุน LTF ตามปกติต่อไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่เคยสมัครบริการ K-Saving Plan และ Investment Plan โดยตัดเงินผ่านบัญชีออมทรัพย์หรือผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทยอัตโนมัติ บริษัทจะดำเนินการระงับคำสั่งซื้ออัตโนมัติในทุกช่องทางทั้ง K PLUS, K-My Funds และ K-Cyber Invest ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 63 เป็นต้นไป โดยลูกค้าไม่ต้องมาติดต่อยกเลิกด้วยตัวเอง

"เป็นที่ทราบกันแล้วว่าในปีหน้าจะมีกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF) ขึ้นมาทดแทนกองทุน LTF ซึ่งบริษัทได้เตรียมความพร้อมที่จะจัดตั้งกองทุน SSF ให้สอดรับกับโครงสร้างใหม่ที่เปิดกว้างด้านนโยบายการลงทุนให้สามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์ทุกประเภททั้งตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ และกองทุนผสม เพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย และสามารถจัดพอร์ตให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม

ส่วนกองทุน LTF ภายใต้การบริหารจัดการของ บลจ.กสิกรไทย ยังคงได้รับการดูแลจากผู้จัดการกองทุนที่มากด้วยประสบการณ์ เชี่ยวชาญในการคัดสรรหุ้นไทยศักยภาพดี ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามสถานการณ์ เพื่อให้กองทุนสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ ผู้ลงทุนจึงวางใจได้ว่ากองทุน LTF ของกสิกรไทย จะยังคงได้รับการบริหารจัดการอย่างดีเช่นเดิม

ดังนั้น ในปีนี้จึงอยากแนะนำให้ลงทุนในกองทุน LTF กันให้เต็มสิทธิ์ภายใต้เงื่อนไข 15% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท โดยบริษัทยังคงแนะนำ กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) ที่เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทใหญ่ชั้นนำที่มีปัจจัยพื้นฐานดี กระจายในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อีกทั้งยังมีการจ่ายปันผลสูงสุดเมื่อเทียบกับ LTF อื่นๆ ของกสิกรไทย โดยกองทุน KDLTF มีการจ่ายปันผลมาอย่างต่อเนื่อง 12 ปี มากถึง 19 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8.76 บาทต่อหน่วย (ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ข้อมูล ณ 30 ก.ย. 62)" นายวศินกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ