ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร QTC ที่ BB+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 8, 2020 10:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) ที่ระดับ "BB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันในระดับปานกลางของบริษัท ตลอดจนโอกาสของการเติบโตในตลาดส่งออก กระแสเงินสดรับที่แน่นอนจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า และสถานะทางการเงินที่น่าพอใจ

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวก็ถูกลดทอนจากการที่บริษัทมีความอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อความถดถอยของตลาด รวมถึงสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าภายในประเทศ และความเสี่ยงจากการดำเนินงานโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่บริษัทมีแผนจะดำเนินการ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ความสามารถในการแข่งขันอยู่ในระดับปานกลาง

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าภายในประเทศอยู่ในระดับปานกลาง บริษัทเป็นผู้ผลิตขนาดกลางซึ่งผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเอง ทั้งนี้ สถานะทางการตลาดของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนจากความเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องหม้อแปลงไฟฟ้าโดยมีจุดแข็งในด้านการพัฒนาสินค้าและมีความเชี่ยวชาญในการผลิต

ความมีชื่อเสียงภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเกิดจากการที่บริษัทประสบความสำเร็จในการประมูลงานและดำเนินโครงการของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ ตลาดภายในประเทศมีผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายจำนวนประมาณ 30 ราย โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 9% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

แม้จะมีจุดแข็ง แต่บริษัทก็ยังมีการกระจุกตัวของลูกค้าค่อนข้างมาก โดยประมาณ 40%-50% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัทมาจากลูกค้าหลักเพียง 3 รายซึ่งประกอบด้วย รัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้า 2 รายและบริษัทตัวแทนส่งออกในประเทศออสเตรเลียอีก 1 ราย นอกจากนี้ บริษัทยังมีความอ่อนไหวต่อภาวะตลาดที่อยู่ในช่วงขาลงค่อนข้างสูงอีกด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีประเภทสินค้าที่จำกัด ยิ่งกว่านั้น บริษัทยังมีข้อจำกัดในการเพิ่มราคาขายจากการมีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากการที่ตลาดมีการแข่งขันสูงซึ่งทำให้บริษัทไม่สามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอได้

ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น

บริษัทเริ่มมีผลประกอบการที่ดีขึ้นในธุรกิจหลัก โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมีผลประกอบการดีกว่าที่ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากกำไรขั้นต้นที่สูงจากการจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้า ทั้งนี้ ยอดขายหม้อแปลงไฟฟ้าเติบโตขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยอยู่ที่ระดับประมาณ 31% จากระดับเพียงประมาณ 13% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 130 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 จาก 17 ล้านบาทในปี 2561 อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นอาจถดถอยลงได้เนื่องจากแนวโน้มของตลาดหม้อแปลงไฟฟ้านั้นยังคงไม่สดใส

แนวโน้มที่ซบเซาของธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า

ทริสเรทติ้งได้ปรับลดมุมมองที่มีต่อตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าภายในประเทศลง ทั้งนี้ อุปสงค์ของหม้อแปลงไฟฟ้าขึ้นอยู่กับการขยายตัวของโครงสร้างไฟฟ้าพื้นฐานเป็นหลักซึ่งรวมถึงกำลังการผลิตติดตั้ง การขยายตัวของระบบสายส่งไฟฟ้า และการเติบโตของการลงทุนภาคเอกชนทั้งในส่วนของภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน

ทริสเรทติ้งมองว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่อัตราการเติบโตอยู่ในระดับต่ำ ผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าภายในประเทศยังจะต้องเผชิญกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการประมูลงานของหน่วยงานภาครัฐด้านไฟฟ้าที่ล่าช้าอยู่ต่อไป ในขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนก็ยังคงซบเซา ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 การลงทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนนั้นต่ำกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้โดยเติบโตเพียง 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความอ่อนไหวต่อผลกระทบที่เกิดจากการหดตัวของตลาดเป็นอย่างมากดังจะเห็นได้จากการหดตัวของตลาดที่ผ่านมา โดยตลาดภายในประเทศถดถอยลงในปี 2559 จนส่งผลให้ยอดขายทรุดลงและการแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ บริษัทต้องประสบกับภาวะการลดลงของยอดขายและการหั่นราคาสินค้า

โอกาสใหม่ ๆ ในตลาดต่างประเทศส่งเสริมการฟื้นตัวของบริษัท

บริษัทมีรายได้จากตลาดต่างประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทมียอดส่งออก 185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทริสเรทติ้งมองว่ายอดขายในตลาดต่างประเทศเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทกลับมาดีขึ้น ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในประเทศออสเตรเลียและญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดที่บริษัทสามารถขายหม้อแปลงไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูงและได้ผลกำไรในอัตราสูงได้ บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นจากการส่งออกอยู่ที่ระดับ 20% ถึง 30% ทั้งนี้นอกเหนือจากผลกำไรที่สูงขึ้นแล้ว การกระจายฐานรายได้ไปในภูมิภาคอื่นยังจะช่วยชดเชยยอดขายที่ซบเซาจากตลาดภายในประเทศให้แก่บริษัทได้อีกด้วย

กิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ก่อให้เกิดกระแสเงินสดที่แน่นอน

นอกเหนือจากรายได้จากการจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าแล้ว บริษัทยังมีรายได้เป็นกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีกด้วย ทั้งนี้ บริษัทเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 1 แห่งที่ดำเนินการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยสร้างกระแสเงินสดรับที่แน่นอนจากการมีราคารับซื้อไฟฟ้าที่มีข้อผูกมัดและความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ ความเสี่ยงในการได้รับเงินก็อยู่ในระดับต่ำและสัญญาระยะยาวที่มีกับ กฟภ. ก็ยังเป็นแบบ Non-firm หรือเป็นการจ่ายไฟฟ้าตามปริมาณที่ผลิตได้อีกด้วย

ผลประกอบการของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทเป็นที่น่าพอใจและคาดว่าจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 120 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดจำนวนมากดังกล่าวนั้นไม่อาจจะรักษาระดับแน่นอนได้ในระยะยาว เนื่องจาก กำไรดังกล่าวจะลดลงอย่างมากหลังจากที่ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) หมดอายุลงในเดือนธันวาคม 2564 โดยทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจากธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านบาทในปี 2565 ซึ่งต่ำลงถึง 83% จากตัวเลขในปัจจุบัน

ความเสี่ยงจากการลงทุนใหม่ในธุรกิจผลิตไฟฟ้า

บริษัทพยายามหาโอกาสลงทุนในโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ เพื่อลดความผันผวนของกำไรจากธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บริษัทได้ลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกแล้วความพยายามที่จะลงทุนใหม่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์ด้านธุรกิจไฟฟ้าที่จำกัดของบริษัทแล้ว ทริสเรทติ้งไม่คาดว่าบริษัทจะเป็นผู้ริเริ่มพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ตั้งแต่ต้น แต่บริษัทน่าจะซื้อโรงไฟฟ้าที่มีการพัฒนามาเรียบร้อยแล้วซึ่งมักให้ผลตอบแทนที่ไม่มากนัก นอกจากนี้ อัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกในประเทศก็เริ่มมีความดึงดูดใจน้อยลงเนื่องจากตลาดการให้บริการไฟฟ้าภายในประเทศที่เริ่มมีการแข่งขันสูงยิ่งขึ้น

เนื่องจากโอกาสในการเติบโตของธุรกิจภายในประเทศเริ่มมีน้อยลง บริษัทจึงแสวงหาโอกาสเติบโตในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม การลงทุนในต่างประเทศย่อมทำให้บริษัทมีความเสี่ยงในการดำเนินโครงการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้รับซื้อไฟฟ้า ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ ความเสี่ยงจากการไม่รับซื้อไฟฟ้าเต็มจำนวนที่ผลิตได้ เป็นต้น เมื่อพิจารณาถึงการมีทรัพยากรที่จำกัดของบริษัทแล้ว ทริสเรทติ้งจึงไม่คาดหวังว่าบริษัทจะมีการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าใหม่ ๆ ในระยะเวลาอันใกล้นี้

สถานะทางการเงินเป็นที่น่าพอใจ

ภาระหนี้ต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทมีการเพิ่มทุนหลายครั้ง ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2562 เงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ 189 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับต่ำที่ 11% บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอโดยเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นมีจำนวน 640 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2562

ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานในระหว่างปี 2563-2565 ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายหม้อแปลงไฟฟ้าของบริษัทจะเติบโตที่ระดับ 5% ต่อปีและอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่อัตราขั้นต่ำ 16% ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 1 พันล้านบาท และเนื่องจากบริษัทไม่มีการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ จึงทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายมีประมาณการอยู่ที่ 160 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2563 และปี 2564 ก่อนที่จะลดลงอย่างมาก มาอยู่ที่ประมาณ 60 ล้านบาทในปี 2565 หลังจากที่ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าหมดอายุลง

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีความระมัดระวังและรอบคอบในการลงทุน ภาระหนี้ของบริษัทยังคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่บริษัทยังสามารถรักษาสภาพคล่องได้อย่างเพียงพอสำหรับการดำเนินงาน และในกรณีที่มีการลงทุนใหม่เกิดขึ้น ทริสเรทติ้งก็คาดว่าการลงทุนดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะทางการเงินของบริษัท

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ยอดขายจากธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าจะเติบโตที่ระดับ 5% ต่อปี

อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าจะอยู่ที่ระดับ 16%

รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะอยู่ที่ 140-150 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2564 และจะอยู่ที่ 50 ล้านบาทในปี 2565

อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมจะอยู่ที่ระดับ 24% ในปี 2563-2564 และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 15% ในปี 2565

บริษัทไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่แต่จะมีงบประมาณสำหรับการบำรุงรักษาจำนวน 55 ล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าต่อไปได้ ตลอดจนได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเมื่อตลาดฟื้นตัว และขยายตัวในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในส่วนของการขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้น บริษัทควรประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ อย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทจะได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจตามเป้าหมาย ทั้งนี้ การลงทุนใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นจะต้องไม่กระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัท

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากผลประกอบการของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตก็อาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีการลงทุนโดยก่อหนี้ในระดับที่สูงมากจนทำให้โครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งผลการดำเนินงานของบริษัทแย่ลงและผลตอบแทนจากการลงทุนใหม่ ๆ ไม่เป็นที่น่าพอใจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ