ฟิทช์ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ของ PTTEP ที่ ‘BBB+’ เทียบเท่า PTT

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 9, 2020 14:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. (อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ‘BBB+’ แนวโน้มเครดิตเป็นบวก) ที่ ‘BBB+’

หุ้นกู้ดังกล่าวจะออกภายใต้โครงการการออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (Global Medium-term Note Programme) ของ บริษัท ปตท.สผ.ศูนย์บริหารเงิน จำกัด (PTTEP Treasury Center Company Limited) ซึ่งเป็นบริษัทลูกและถือหุ้นทั้งหมดโดย ปตท.สผ.

อันดับเครดิตของ ปตท.สผ. อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของบริษัทแม่ ซึ่งได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) หรือ ปตท. ซึ่งมีอันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ‘BBB+’ แนวโน้มเครดิตเป็นบวก สะท้อนถึงความสัมพันธ์ในด้านการดำเนินงาน และด้านกลยุทธ์ที่อยู่ในระดับแข็งแกร่งระหว่างบริษัททั้งสอง ฟิทช์พิจารณาอันดับเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของ ปตท.สผ. อยู่ที่ระดับ ‘bbb’ สะท้อนถึงปริมาณการผลิตที่อยู่ในระดับปานกลาง ปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในระดับต่ำแต่น่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคต และฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง

โครงการ Global Medium-term Note Program และหุ้นกู้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯภายใต้โครงการ ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกับอันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ ปตท.สผ. เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เกือบทั้งหมดจะนำไปใช้ชำระคืนหนี้เดิม

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับบริษัทแม่: ฟิทช์พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง ปตท.สผ. และ ปตท.อยู่ในระดับแข็งแกร่ง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Criteria) โดยสะท้อนถึงการดำเนินงานที่เชื่อมโยงกันระหว่างสองบริษัท ซึ่ง ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของกลุ่ม ปตท. โดย ปตท.สผ. ขายผลิตภัณฑ์มากกว่า 80% ของปริมาณการผลิตทั้งหมดให้แก่ ปตท. และรายได้มากกว่า 90% ของ ปตท.สผ. มาจาก ปตท. นอกจากนี้กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จาก ปตท.สผ. คิดเป็นสัดส่วน 36% ของกลุ่ม ปตท. ในปี 2561

การดำเนินงานของ ปตท.สผ. ยังมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนบทบาทเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯแม่ต่ออุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของประเทศไทย และช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศ ปตท. มีตัวแทนในคณะกรรมการของ ปตท.สผ. และเป็นผู้แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงบางส่วนของบริษัทฯ นอกจากนี้ ปตท. ยังมีส่วนร่วมในการสนับสนุน ปตท.สผ. ในการกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ ซึ่งรวมถึงการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่

ธุรกิจที่น่าจะปรับตัวดีขึ้น: ฟิทช์คาดว่าการเข้าซื้อธุรกิจสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของ Patex Holding B.V และ Murphy Oil ในประเทศมาเลเซีย และการชนะการประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชและเอราวัณ น่าจะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตและปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของบริษัทฯ ปตท.สผ. ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชในปี 2561 ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้ว (Proved Reserves)ที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปี 2560 การชนะการประมูลดังกล่าวยังช่วยให้ความเสี่ยงจากการสูญเสียการผลิตจากแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชซึ่งคิดเป็นประมาณ 27% ของปริมาณการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในปี 2561 หมดไป และยังเพิ่มความแข็งแกร่งของ ปตท.สผ. ในฐานะผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในประเทศไทยอีกด้วย โดยก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากแหล่งบงกชและเอราวัณ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของการผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยทั้งหมดในปี 2561

ปตท.สผ. และผู้ร่วมโครงการได้ตัดสินใจที่จะลงทุนพัฒนา (Final Investment Decision) โครงการก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquid Natural Gas: LNG) ในประเทศโมซัมบิค เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2562 โครงการดังกล่าวน่าจะช่วยเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วให้กับ ปตท.สผ. ประมาณ 140 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยบริษัทฯมีปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วอยู่ที่ 677 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ณ สิ้นปี 2561 ซึ่งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำที่ประมาณ 5 ปีเมื่อเทียบกับปริมาณการผลิต

ฟิทช์คาดว่าการลงทุนของ ปตท.สผ. ซึ่งรวมถึงโครงการก๊าซธรรมชาติเหลวในประเทศโมซัมบิค และการชนะการประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกชและเอราวัณน่าจะช่วยเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและปริมาณการผลิตในระยะยาวได้ ฟิทช์คาดว่าปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้วต่อปริมาณการผลิตของ ปตท.สผ. จะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ามาอยู่ที่ระดับ 7 ปี แม้ว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยของบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตในกลุ่ม ‘BBB’

การลงทุนที่สูง: ฟิทช์คาดว่า ปตท.สผ. จะใช้เงินลงทุนประมาณ 4.8 แสนล้านบาท หรือประมาณ 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตและปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รวมค่าใช้จ่ายในการเข้าซื้อธุรกิจที่ได้มีการประกาศไป การลงทุนพัฒนาโครงการในประเทศแอลจีเรีย เวียดนาม และโมซัมบิค และการสำรวจแหล่งผลิตปิโตรเลียมที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ในการพิจารณาอันดับเครดิตนี้ ฟิทช์ยังมิได้พิจารณาการเข้าซื้อกิจการที่มีขนาดใหญ่ โดยฟิทช์จะมีการพิจารณาทบทวนอันดับเครดิตอีกครั้งหากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น

ฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง: ฟิทช์คาดว่าฐานะทางการเงินของ ปตท.สผ. จะยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีการลงทุนที่สูง ฟิทช์มองว่าปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น น่าจะส่งผลให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯเพิ่มขึ้นจากสมมุติฐานราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของฟิทช์ และส่งผลให้บริษัทฯมีกระแสเงินสดสุทธิเป็นบวกตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป โดยมีสมมุติฐานว่าจะไม่มีการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ ดังนั้นฟิทช์คาดว่าบริษัทฯน่าจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับต่ำ โดย ณ สิ้นไตรมาสที่สามของปี 2562 บริษัทฯมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ 0.1 เท่า และฟิทช์มองว่าฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยังทำให้บริษัทฯมีความสามารถในการลงทุนที่สูงได้โดยไม่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิต

อันดับเครดิตโดยลำพัง: อันดับเครดิตโดยลำพังของ ปตท.สผ.ที่ ‘bbb’ สะท้อนถึงการเป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ต่ำแต่น่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนในการผลิตปิโตรเลียมที่อยู่ในระดับต่ำ และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยต้นทุนในการผลิตปิโตรเลียมของ ปตท.สผ. ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 14.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 (ปี 2561 อยู่ที่ 15.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ) และบริษัทฯคาดว่าจะดำเนินการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความ สามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

ฟิทช์จัดอันดับเครดิตของ ปตท.สผ. เท่ากับอันดับเครดิตของบริษัทแม่ ซึ่งได้แก่ ปตท. เนื่องจากความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างบริษัททั้งสอง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก ฟิทช์มองว่าความสัมพันธ์กับบริษัทแม่ของ ปตท.สผ. ในด้านการดำเนินงานและด้านกลยุทธ์อยู่ในระดับสูง โดย ปตท.สผ. เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของกลุ่ม ปตท. และเป็นผู้ผลิตปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และการดำเนินงานของบริษัทฯมีความสำคัญในการรักษาเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศ และสนับสนุนบทบาทเชิงกลยุทธ์ของบริษัทแม่ในอุตสาหกรรมอีกด้วย นอกจากนี้กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจาก ปตท.สผ. มีสัดส่วนสูงสุดในกลุ่ม ปตท. รวมทั้ง ปตท.สผ. ยังขายผลิตภัณฑ์เกือบทั้งหมดที่ผลิตได้ให้แก่ ปตท. ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ด้านการดำเนินงานกับ ปตท. ที่อยู่ในระดับสูง

การจัดอันดับเครดิตของ ปตท.สผ. ในระดับเดียวกันกับบริษัทแม่ เป็นการจัดอันดับในลักษณะเดียวกับการจัดอันดับของ PetroChina Company Limited (อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ‘A+’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ China National Petroleum Corporation (CNPC; อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ‘A+’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) โดย PetroChina มีความสัมพันธ์กับ CNPC ที่แข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลให้อันดับเครดิตเท่ากับอันดับเครดิตของบริษัทแม่ ฟิทช์มองว่าความสัมพันธ์ด้านกลยุทธ์และการดำเนินงานของ ปตท.สผ. และ ปตท. อยู่ในระดับมากกว่าความสัมพันธ์ระหว่าง PT Perusahaan Gas Negara Tbk (PGN; อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ‘BBB-’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) และบริษัทแม่ PT Pertamina (Persero; อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ‘BBB’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งส่งผลให้อันดับเครดิตของ PGN ต่ำกว่าอันดับเครดิตของบริษัทแม่อยู่หนึ่งอันดับ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

  • ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 ต่อปี ในปี 2562 และ 2563 (ปี 2561 อยู่ที่ 131 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ)
  • ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ราคา 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2562, 62.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2563, 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564, 57.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปีถัดๆไป
  • ราคาขายก๊าซธรรมชาติเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบ
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนอยู่ในช่วง 2-4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2561 อยู่ที่ 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ)
  • เงินปันผล 50% ของกำไรสุทธิ (ปี 2561 อยู่ที่ 55%)

ปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่ออันดับเครดิต

ปัจจัยบวก

  • การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลระยะยาวของ ปตท. โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่าง ปตท.สผ. และ ปตท. ยังคงเหมือนเดิม

ปัจจัยลบ

  • การปรับลดอันดับเครดิตสากลระยะยาวของ ปตท.
  • ความสัมพันธ์ระหว่าง ปตท.สผ. และ ปตท. ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

สำหรับอันดับเครดิตของ ปตท. มีปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตในอนาคต ซึ่งแสดงไว้ในรายงานเครดิตลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2562 ดังนี้

ปัจจัยบวก

  • การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลระยะยาวของประเทศไทยโดยที่ความสัมพันธ์ระหว่าง ปตท. และภาครัฐฯ ยังคงเหมือนเดิม
  • การปรับเพิ่มอันดับเครดิตโดยลำพังของ ปตท. ไม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วง 18-24 เดือนข้างหน้า เนื่องจากความอ่อนแอของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมโดยเฉพาะสถานะปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ

ปัจจัยลบ

  • การปรับลดอันดับเครดิตสากลระยะยาวของประเทศไทย

สภาพคล่อง

สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: ปตท.สผ. มีเงินสดอยู่ในระดับที่สูงจำนวน 6.4 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายนปี 2562 ทำให้บริษัทฯมีสภาพคล่องสูง เงินสดของบริษัทฯลดลงจาก 1.3 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2561 เนื่องจากการเข้าซื้อกิจการจำนวน 6.5 หมื่นล้านบาท และเงินลงทุนจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท

ฟิทช์คาดว่า ปตท.สผ. จะยังคงมีกระแสเงินสดสุทธิเป็นบวกภายใต้สมมุติฐานราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของฟิทช์ และบริษัทฯไม่มีการเข้าซื้อกิจการในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะทำให้ ปตท.สผ. ยังคงมีสภาพคล่องที่ดี นอกจากนี้ ความสามารถของ ปตท.สผ. ในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ยังช่วยสนับสนุนสภาพคล่องของบริษัทฯอีกด้วย

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG)

หากมิได้กล่าวไว้ในส่วนอื่นของรายงาน ระดับสูงสุดของคะแนนที่เกี่ยวข้องกับ ESG อยู่ที่ระดับ 3 ซึ่งไม่มีผลหรือมีผลน้อยมากต่อสถานะทางเครดิตของบริษัทฯ เนื่องจากเป็นลักษณะเฉพาะของปัจจัยดังกล่าว หรือปัจจัยดังกล่าวได้รับการบริหารจัดการโดยบริษัทฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ