KTC เผยกำไรปี 62 เพิ่มขึ้น 7.5% จากพอร์ตลูกหนี้-ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรสูง พร้อมวางเป้าปี 63 ขยายตัวต่อ-คุม NPL เข้มข้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 16, 2020 08:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

KTC เผยกำไรปี 62 เพิ่มขึ้น 7.5% จากพอร์ตลูกหนี้-ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรสูง พร้อมวางเป้าปี 63 ขยายตัวต่อ-คุม NPL เข้มข้น

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) หรือเคทีซี เปิดเผยว่า ในปี 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% จากปี 2561 โดยมีพอร์ตลูกหนี้การค้ารวมเท่ากับ 85,834 ล้านบาท เติบโต 9.8% ฐานสมาชิกรวม 3.4 ล้านบัญชี เติบโต 2% แบ่งเป็น ธุรกิจบัตรเครดิต 2,510,914 บัตร ขยายตัว 5.2% พอร์ตลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 56,653 ล้านบาท ขยายตัว 10.9% อัตราเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตสำหรับปี 2562 เท่ากับ 10.6% หนี้ที่ไม่เก่อให้เกิดรายได้ (NPL) รวม ลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 1.06% NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 0.93%

ธุรกิจสินเชื่อบุคคลมีจำนวนทั้งสิ้น 888,342 บัญชี ลดลง 6.7% ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวม 28,933 ล้านบาท เติบโต 7.9% ขณะที่ NPL ของสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 0.92%

ในปี 2562 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 22,625 เพิ่มขึ้น 6.7% จากปีก่อน โดยมีอัตราเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 7.5% รายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลเพิ่มขึ้น 7.9% รายได้ค่าธรรมเนียม (ไม่รวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) เพิ่มขึ้น 4.9% และรายได้อื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากหนี้สูญได้รับคืนคิดเป็น 87.7% ของรายได้อื่น ๆ

ขณะที่ค่าใช้จ่ายการบริหารงานเท่ากับ 7,722 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่สูงขึ้น 11.5% ในการเพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่ทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล และการเพิ่มโปรโมชั่นการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยที่ค่าใช้จ่ายด้านบุคคล ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานอื่นๆ และค่าธรรมเนียมจ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 3.2% , 0.5% และ 0.3% ตามลำดับ

บริษัทมีหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มที่ 12.8% จากการตั้งสำรองและตัดหนี้สูญเพื่อคัดกรองให้พอร์ตลูกหนี้มีคุณภาพ ส่วนค่าใช้จ่ายทางการเงินใกล้เคียงเดิมเนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการเงินได้ดี เป็นผลให้บริษัทมีกำไรเติบโตต่อเนื่อง และการมุ่งเพิ่มฐานลูกค้าให้มากขึ้นจะเป็นการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนในอนาคต

นายระเฑียร กล่าวว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจที่ยืดเยื้อในปี 2562 ได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งการปรับตัวของไทยเพื่อรับกับกระแสดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงกฎหมาย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของภาครัฐที่เอื้อให้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ประโยชน์ เพื่อให้ประชาชนเกิดความสะดวกสบายต่อการใช้งาน ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการตลาดอย่างชัดเจน ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจต่างต้องปรับตัวรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

"สำหรับเคทีซีได้ปรับเปลี่ยนแผนงานระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเตรียมรับมือกับหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยเฉพาะสภาพเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องถึงปี 2563 การกำหนดแผนกลยุทธ์ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายและผลลัพธ์เดียวกัน จึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นที่ทำให้เคทีซีมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยในปี 2562 สามารถทำกำไรสุทธิได้ 5,524 ล้านบาท และมีอัตราเติบโตของยอดลูกหนี้ธุรกิจบัตรเครดิตสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งมีพอร์ตลูกหนี้รวมและยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่สูงขึ้น และมีการควบคุมคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ที่ดีต่อเนื่อง โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมาย"นายระเฑียร กล่าว

นายระเฑียร กล่าวอีกว่า ปี 2563 จะเป็นปีที่ท้าทายและคาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่สูงมาก บริษัทจะมุ่งควบคุมคุณภาพหนี้ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น รวมทั้งจะเพิ่มฐานบัตร พอร์ตลูกหนี้ ปริมาณสินเชื่อ ด้วยค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่มากขึ้นเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเป้าหมายที่คาดไว้สำหรับธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลและสินเชื่อที่มีทะเบียนรถยนต์เป็นประกันภายใต้ใบอนุญาตของสินเชื่อบุคคล ได้แก่ ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรโดยรวมไม่ต่ำกว่า 15% พอร์ตลูกหนี้รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 10% คุม NPL อย่างรัดกุมแต่อาจจะมีอัตราสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย และรักษาระดับกำไรให้ไม่น้อยกว่าเดิม

สำหรับการดำเนิน 3 ธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถยนต์เป็นประกัน ธุรกิจสินเชื่อพิโก ไฟแนนซ์ และธุรกิจสินเชื่อนาโน ไฟแนนซ์ เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ แต่ยังเร็วเกินกว่าที่จะกำหนดเป้าหมายการเติบโตในอนาคตที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามเคทีซีตั้งใจพัฒนาธุรกิจดังกล่าวให้เป็นฐานของบริษัทที่เข้มแข็งในอนาคต โดยจะดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและละเอียดรอบคอบ ในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเป็นส่วนประกอบของกระบวนการทำงานที่ทันสมัยและแตกต่างจากเดิม การทดสอบและการเข้าสู่ตลาดจึงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรัด โดยเฉพาะท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่มีความท้าทายสูง บริษัทต้องประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตให้ชัดเจนระหว่างทำการทดสอบทุกครั้ง

สำหรับการบังคับใช้มาตรฐานบัญชี TFRS9 ในปี 2563 บริษัทมีความพร้อมรับมือไว้แล้ว โดยจะไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานจริงของบริษัท เพียงแต่จะมีการรายงานตัวเลขทางการเงินที่แตกต่างไปจากเดิม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ