(เพิ่มเติม) SENA ตั้งเป้าปี 63 ยอดขาย 1.15 หมื่นลบ.ยอดโอน 1.06 หมื่นลบ.เปิด 10 โครงการใหม่ 7.5 พันลบ.เน้นระดับราคาเข้าถึงได้ง่าย

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 27, 2020 14:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

(เพิ่มเติม) SENA ตั้งเป้าปี 63 ยอดขาย 1.15 หมื่นลบ.ยอดโอน 1.06 หมื่นลบ.เปิด 10 โครงการใหม่ 7.5 พันลบ.เน้นระดับราคาเข้าถึงได้ง่าย

นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 63 บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1.15 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอน 1.06 หมื่นล้านบาท โดยกลยุทธ์นอกจากพัฒนาโครงการที่เจาะกลุ่ม Real Demand ก็จะเตรียมความพร้อมรับมือเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปลี่ยนแปลง รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ร่วมกับพันธมิตรมาใช้เพื่อผลักดันการเติบโตให้กับบริษัท

สำหรับปีนี้เตรียมเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 7.5 พันล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ และแนวราบ 4 โครงการ เจาะกลุ่ม Real Demand เน้นคนที่ซื้ออยู่จริง โดยใช้ข้อมูลจากหลายส่วนมาค้นหาทำเลที่เหมาะสม ทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ต้องเลือกทำเลที่เหมาะสม โดยต้องอยู่ในแหล่งงาน มีคนอพยพเข้ามาอยู่อาศัย ผังเมืองเหมาะสมและซัพพลายยังไม่มากเกินไป โดยเฉพาะตลาดแนวราบระดับราคา 3-5 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นระดับที่มีกำลังซื้อ และได้รับความนิยม

ทั้งนี้ มองว่าในปีนี้จะเริ่มเห็นการกลับข้างของการดูดซับโครงการแนวราบที่เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอัตราการดูดซับระหว่างคอนโดมิเนียมและแนวราบอยู่ที่ 57:42 ทำให้พันธมิตรญี่ปุ่นมีความสนใจหันมาร่วมลงทุนโครงการทาวน์เฮาส์เป็นครั้งแรก เป็นโอกาสในการร่วมยกระดับการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบร่วมกับบริษัท

นางสาวเกษรา เปิดเผยว่า บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน(Backlog) ณ สิ้นปี 62 ที่กว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยจะทยอยโอนในปีนี้ราว 6-7 พันล้านบาท ซึ่งการถือว่าค่อนข้างสูงมาก เพราะในปีนี้มีโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ที่พร้อมโอน ได้แก่ โครงการ Niche Pride เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ โครงการ Niche Mono เจริญนคร และโครงการ Niche Monk สุขุมวิท-แบริ่ง ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นทั้งหมด

ขณะที่บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 1.5 พันล้านบาท เพื่อใช้รองรับซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาในปีถัดไป เพราะแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ทั้ง 10 โครงการมีที่ดินครบทั้งหมดแล้ว

นางสาวเกษรา เปิดเผยว่า จำนวนโครงการใหม่ในปีนี้ 10 โครงการลดลงจากปีก่อนที่เปิดไป 11 โครงการ เนื่องจากบริษัทมีความระมัดระวังปัจจัยที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ทำให้อยู่ในช่วงขาลงมาตั้งแต่ปีก่อน บริษัทจึงไม่ต้องการเร่งเปิดโครงการใหม่มากนัก และหันมาเน้นจับกลุ่มลูกค้า Real Demand มากขึ้น โดยพัฒนาคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นทำเลปริมณฑลใกล้กับนิคมอุตสาหกรรม เพราะมองว่าเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในปีนี้จะมีโครงการระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทที่จะเปิดตัว 4 โครงการ

ส่วนโครงการแนวราบจะเน้นไปที่การพัฒนาทาวน์เฮาส์ ซึ่งมีความต้องการซื้อค่อนข้างมาก โดยที่โครงการแนวราบจะเน้นไปที่โครงการระดับราคา 1-2 ล้านบาท และ 2-3.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ลูกค้าส่วนใหญ่เข้าถึงได้มาก

อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ปีนี้จะยังคงชะลอตัว แม้ว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกมาผ่อนคลายมาตรการ LTV ให้มีความยืดหยุ่นขึ้นมากขึ้น แต่ก็ยังมีประเด็นสำคัญคือใครจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงนี้ หรือคนซื้ออยู่ที่ไหน เพราะมีปัจจัยที่ยังไม่มีความแน่นอนทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบต่อความมั่นใจและการตัดสินใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับกลุ่มลูกค้านักลงทุนและกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติหายไปค่อนข้างมาก จะเห็นได้จากกลุ่มลูกค้าชาวจีนของบริษัทมีสัดส่วนลดลงเหลือ 10% จากเดิม 20% เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า และเศรษฐกิจจีนชะลอตัว

ทั้งนี้ คาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากปีนี้ไปอีก 3-4 ปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นด้วย

"ภาวะของตลาดอสังหาฯในตอนนี้และปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ทำให้การปรับตัวและปรับแผนของผู้ประกอบการภาคอสังหาฯต้องปรับตัวเร็วขึ้นจากทุกๆ 3 ปี เป็นทุกๆ 3 เดือน เพราะเราต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในยุคนี้"นางสาวเกษรา กล่าว

นางสาวเกษรา กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีแผนการลงทุนอื่นๆ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสและสร้างช่องทางรายได้เสริมเข้ามา จากการตั้งกองทุนร่วมกับพันธมิตรญี่ปุ่นเพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ เน้นโครงการที่อยู่อาศัยที่มีความน่าสนใจ โดยที่ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการมองหาซื้อโครงการจากผู้ประกอบการรายอื่นมาพัฒนาต่อ

ส่วนการลงทุนโครงการมิกซ์ยูสของบริษัทยังคงอยู่ในแผน แต่ยังไม่เร่งการพัฒนา เพราะสถานการณ์ของเศรษฐกิจและตลาดในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย ทำให้บริษัทยังต้องระมัดระวังในการลงทุน

ด้านผลการดำเนินงานในปี 62 บริษัทยอมรับว่ายอดขายต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่เกือบ 8 พันล้านบาท และยอดโอนต่ำกว่าเป้าหมายมาที่ 6 พันล้านบาทเช่นเดียวกัน แต่ยังถือว่ามีการเติบโตจากปี 61 เล็กน้อย ซึ่งยอมรับว่าปัจจัยต่างๆที่กดดันภาคอสังหาริมทรัพย์ไนปีที่ผ่านมามีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท และกระทบแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีก่อนที่ลดลงจาก 20 โครงการ เหลือ 11 โครงการด้วยเช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ