PTTEP วางเป้ากำลังผลิตแตะ 4.6 แสนบาร์เรล/วันในปี 67 หลังเข้าซื้อกิจการ-ขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมเพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 13, 2020 16:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางชนมาศ ศาสนนันทน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์กำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 460,000 บาร์เรล/วันภายในปี 67 โดยเป็นผลจากการเข้าซื้อแหล่งปิโตรเลียมในช่วงที่ผ่านมา และเริ่มทำการขุดเจาะสำรวจ โดยจะเริ่มทยอยดำเนินการในปี 63 ได้แก่ แหล่งโครงการเมอร์ฟี่ ออยล์ และพาร์เท็กซ์ โฮลดิ้ง รวมถึงการอนุมัติเข้าลงทุนในโครงการโมซัมบิก แอเรีย วัน และโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ และโครงการที่ได้รับสัมปทานในแหล่งบงกช และเอราวัณ

ในปีนี้บริษัทจะเร่งกิจกรรมการสำรวจในโครงการที่มีศักยภาพสูง โดยจะเน้นการขุดเจาะและสำรวจเพิ่มในแหล่งที่ได้ทำการเข้าซื้อไปแล้วทั้งในมาเลเซีย และเมียนมา รวมประมาณ 18 หลุม ทั้งนี้ เมื่อขุดเจาะขึ้นมาแล้ว เชื่อว่าจะมีตลาดรองรับอย่างแน่นอน เนื่องจากเมียนมามีความต้องการใช้ก๊าซอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศมาเลเซียในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าจะก่อสร้างคลังเก็บ LNG ขนาดใหญ่ จึงทำให้มีความจำเป็นจะต้องสำรองปริมาณก๊าซ LNG ที่สูงขึ้น

ขณะเดียวกันบริษัทกำลังพิจารณาการขายหรือดำเนินการเตรียมขุดเจาะสำรวจแหล่งปิโตรเลียมที่อยู่ระหว่างรอดำเนินการ ได้แก่ แหล่งมาเรียนา ออยล์ แซนด์ที่แคนาดา และแหล่ง Cash Maple ที่ออสเตรเลีย

สำหรับราคาขายก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทในปี 63 จะอยู่ที่ 6.4 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู โดยในช่วงไตรมาส 1/63 จะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 6.8 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ทั้งนี้ ราคาขายมีแนวโน้มที่ลดลง ตามราคาน้ำมันที่ลดลงในช่วงปี 62 โดยราคาก๊าซจะปรับตัวลดลงช้ากว่าราคาน้ำมันประมาณ 6 เดือนถึง 12 เดือน ขณะเดียวกันยังคงรักษาต้นทุนการผลิตไว้ที่ระดับ 32 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ส่วนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ (Gas to Power) กำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ (MW) ที่ประเทศเมียนมา ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้ยื่นหนังสือเพื่อขออนุญาตพัฒนาโรงไฟฟ้า คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในครึ่งปีแรก และจากนี้จะใช้ระยะเวลาศึกษาอีก 1 ปี และเริ่มดำเนินการก่อสร้างคาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ปี 67

อีกทั้งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอหน่วยงานภาครัฐอนุมัติยให้บริษัทสามารถยื่นแสดงฐานะงบทางการเงินในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นการช่วยลดความผันผวนของงบการเงินของบริษัทต่ออัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้คาดจะได้รับการอนุมัติในช่วงไตรมาส 1/63


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ