BCPG เผยปี 63 ยังเดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนต่อเนื่อง เน้นกลุ่ม CLMV

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 19, 2020 15:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. บีซีพีจี (BCPG) เปิดเผยว่า ในปี 63 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV หลังภาพรวมธุรกิจในปี 62 ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ แห่งที่ 2 ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญา 45 เมกะวัตต์ ในเมืองเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมทั้งร่วมลงทุนกับพันธมิตรก่อสร้างและดำเนินกิจการระบบสายส่งกระแสไฟฟ้าไปยังเวียดนาม รองรับการขายไฟให้การไฟฟ้าเวียดนามขนาด 500 เมกะวัตต์ ในอนาคต

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการให้บริการการจัดการด้านพลังงานหรือ energy as a service นำนวัตกรรมมาใช้ในธุรกิจเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถผลิตพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตัวเองและประหยัดค่าใช้จ่าย โดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พัฒนาโครงการมหาวิทยาลัยอัจฉริยะพลังงานสะอาด (Smart University) ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นที่หลังคา กำลังการผลิตรวม 12 เมกะวัตต์ พร้อมนำเทคโนโลยีระดับโลก อาทิ บล็อกเชน AI และ IoT มาช่วยบริหารจัดการการผลิตและการใช้ไฟฟ้าภายในโครงการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งปีหลังของปี 2563

สำหรับในปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 3,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 3.2 โดยในประเทศไทย บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ที่ 2,994 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 4.8 สาเหตุหลักมาจากสภาพอากาศที่ปลอดโปร่ง ช่วยเอื้อต่อการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ประกอบกับการรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวน 2 โครงการ ในอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี กำลังการผลิตตามสัญญา 3.9 เมกะวัตต์ และอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี กำลังการผลิตตามสัญญา 5 เมกะวัตต์

รวมทั้งการรับรู้รายได้จากโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ใหม่ โครงการโซลาร์ลอยน้ำเอกชนบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กำลังการผลิตตามสัญญา 2.1 เมกะวัตต์ ซึ่งได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ บริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม "ลมลิกอร์" จังหวัดนครศรีธรรมราช กำลังการผลิตตามสัญญา 9 เมกะวัตต์ อยู่ที่ 63 ล้านบาท ซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา

ในปี 62 บริษัทฯ ยังได้เดินหน้าขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A ในเมืองเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 69 เมกะวัตต์ และมีรายได้จากการดำเนินงานของโครงการอยู่ที่ 148 ล้านบาท นับตั้งแต่การเข้าซื้อเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

สำหรับการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ บริษัทฯ มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานลม (ก่อนการหัก amortization) อยู่ที่ 59 ล้านบาท ลดลงจากปี 2561 ร้อยละ 19.1 มีสาเหตุหลักมาจากกำลังลมโดยเฉลี่ยที่ลดลง ประกอบกับการปิดซ่อมบำรุงสายส่งที่ได้รับความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่น ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยชั่วโมงในการผลิตไฟฟ้าต่อวัน (Capacity Factor) ลดลงจากร้อยละ 37.1 เป็นร้อยละ 35.5 ในปี 62 และทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งปี 2562 ลดลงที่ร้อยละ 4.3 เป็น 45 ล้านหน่วย

ในขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย ในปี 62 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพ (ก่อนการหัก amortization) ลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยเป็นร้อยละ 5 หรืออยู่ที่ 723 ล้านบาท สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยชั่วโมงในการผลิตไฟฟ้าต่อวัน (Capacity Factor) ที่ลดลงจากร้อยละ 93.9 เป็นร้อยละ 92.4 เนื่องด้วยการปิดซ่อมบำรุงโครงการตามแผนงาน

ทั้งนี้ปี 62 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ไม่รวมกำไร/(ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยนและรายการพิเศษ จำนวน 430.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากทั้งไตรมาส 4/2561 และไตรมาส 3/2562 ที่ 25.3 และ 20.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.2 และ 5.1 ตามลำดับ โดยมีสาเหตุหลักมาจากสภาวะอากาศที่ปลอดโปร่งในประเทศไทย และการรับรู้ผลประกอบการของโครงการใหม่ ๆ ข้างต้น

ณ สิ้นปี 2562 สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 37,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 17.7 ส่วนหนี้สินรวมอยู่ที่ 21,581 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.5 จากการเพิ่มขึ้นของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยร้อยละ 27.7 โดยการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ และหนี้สินดังกล่าว มีสาเหตุหลักจากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิ สำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2562 หรือไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท และเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2562 ที่ได้จ่ายไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.48 บาท จะเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2562 รวมอัตราหุ้นละ 0.64 บาท คิดเป็นเงินรวมประมาณ 1,279 ล้านบาท

โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 4 มีนาคม 2563 และ กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 เมษายน 2563 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD (Exclude Dividend) ในวันที่ 3 มีนาคม 2563 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ในวันที่ 9 เมษายน 2563


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ