(เพิ่มเติม) "ไซมิส แอสแสท"เดินหน้าลุยขาย IPO-เข้า SET ช่วง ส.ค.-ต.ค.63 ระดมทุนพัฒนาโครงการใหม่-คืนหนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 10, 2020 14:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไซมิส แอทเสท (SA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ในช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค.63 เพื่อระดมทุนมาใช้พัฒนาโครงการใหม่ ชำระคืนหนี้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

SA มีแผนเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 320 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 290 ล้านหุ้น และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-allotment) จำนวนไม่เกิน 30 ล้านหุ้น โดยมีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บล.เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

สำหรับ SA เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด ‘Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต’ ทั้งโครงการแนวสูงและแนวราบครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกระดับ โดยมุ่งเน้นพัฒนาโครงการบนทำเลที่มีศักยภาพในย่านใจกลางเมือง ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และย่านศูนย์กลางธุรกิจใหม่ (New CBD)

นายขจรศิษฐ์ กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในระยะสั้นจะต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบที่ผสมผสานระหว่างอสังหาริมทรัพย์ให้เพื่อขายและอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าเพื่อสร้างมูลค่าให้กับสินทรัพย์ของบริษัท และหาช่องทางของการกระจายรายได้ที่จะมีรายได้ประจำเข้ามาเสริม พร้อมกับสร้างมูลค่าให้กับสินทรัพย์ของลูกค้าที่ซื้อโครงการกับบริษัทตามคอนเซ็ปต์ "Asset of Life" ที่เป็นจุดเด่นของบริษัทในการพัฒนาโครงการต่างๆ

ตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นไปในส่วนของการสร้างรายได้ปะจำเข้ามาเสริม บริษัทจะเริ่มจากการนำเชนโรงแรมชั้นนำระดับโลกเข้ามาบริหารโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัท เพื่อทำให้ลูกค้าสามารถได้รับบริการที่ดีเหมือนอยู่โรงแรมในราคาที่ลูกค้าจับต้องได้ และสามารถนำห้องที่ยังไม่ได้ขายออกไปมาปล่อยเช่าในรูปแบบ Serviced Residence เพื่อสร้างรายได้ประจำ

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนพัฒนาอาคารในโครงการ The Collection, Siamese Exclusive 42, Siamese Exclusive Ratchada, Siamese Rama 9, Siamese Sukhumvit 48 และ Siamese Sukhumvit 87 ซึ่งเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส โดยที่บริษัทตั้งเป้าจะมีจำนวนห้องที่ปล่อยเช่าในสิ้นปี 63 อยู่ที่ 400-500 ห้อง

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการพัฒนาและปรับปรุง (Renovate) อาคารเก่าเพื่อขายหรือให้เช่า ซึ่งบริษัทมีนโยบายเข้าลงทุนในอาคารที่ตั้งอยู่ในทำเลย่าน CBD เช่น สีลม สุขุมวิท หรือหัวเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับเปลี่ยนประเภทการใช้งานอาคารเพื่อสร้างมูลค่าแก่โครงการ และเพื่อสร้างรายได้จากการขายหรือให้เช่า โดยล่าสุดได้เข้าซื้อที่ดินและอาคารที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในซอยสุขุมวิท 39 เพื่อนำพัฒนาเป็นโรงแรม หรือ Serviced Residence และยังมีการศึกษาโอกาสในการเข้าลงทุนในโครงการอื่นๆ เพิ่มเติม

นายขจรศิษฐ์ กล่าวว่า แผนระยะสั้นในการขยายพอร์ตของธุรกิจให้เช่า ได้แก่ โรงแรม และ Serviced Residence บริษัทจะเริ่มจากการขยายในกรุงเทพฯก่อนจะเริ่มขยายทำเลในการพัฒนาไปในหัวเมืองท่องเที่ยวใหญ่ในประเทศในแผนระยะกลาง และแผนระยะยาวจะมองโอกาสในการรุกขยายการพัฒนาโครงการไปในต่างประเทศที่เป็น Blur Ocean ที่ยังมีสัดส่วนของคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก เช่น กรุงมานิลาประเทศฟิลิปปินส์, กรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศบังคลาเทศ โดยจะเป็นการขยานการลงทุนผ่านการร่วมมือพันธมิตร เพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตขึ้นจากการสร้างรายได้ใหม่ๆเข้ามา

ขณะเดียวกัน บริษัทยังต่อยอดไปสู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ที่จะเป็นการสร้างโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจ โดยปัจจุบันมีธุรกิจร้านกาแฟแบรนด์ "KAFEOLOGY" จำนวน 2 สาขาที่เปิดให้บริการ และมีร้านอาหาร Rosemary เปิดให้บริการ 1 สาขาที่แฟชั่นไอส์แลนด์ และในเดือนปลาย เม.ย.ที่จะถึงนี้จะเปิดบริการ Cloud Kitchen แห่งแรกในโครงการของบริษัทที่เจริญราษฎร์ ซึ่งมีร้านอาหารที่เข้ามาใช้ครัวกลางใน Cloud Kitchen จำนวน 6 ร้าน ซึ่งได้ร่วมมือกับ Grab ในการให้บริการ

โดยที่บริษัทวางแผนการเพิ่มสาขาของ Cloud Kitchen ในช่วง 5 ปีนี้เพิ่มเป็น 100 สาขา โดยจะนำร่องจากพื้นที่ส่วนกลางในโครงการของบริษัทก่อน ซึ่งบริษัทมองถึงโอกาสของ Cloud Kutchen จากจำนวนยอดออเดอร์การสั่งอาหารผ่าน Grab ที่เพิ่มมากขึ้นมาต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 62 บริการของ Grab มีจำนวนออเดอร์สูงถึง 50 ล้านออเดอร์ และคาดว่าไนปีนี้จะเพิ่มขึ้นแตะ 100 ล้านออเดอร์ ซึ่งเป็นโอกาสที่จะเข้ามาเสริมรายได้ประจำให้กับบริษัท ซึ่งบริษัทจะคิดส่วนแบ่งจากเปอร์เซ็นต์ของยอดขายจากร้านค้าที่ขายได้เป็นรายได้ของบริษัท ซึ่งในระยะสั้นบริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้ประจำจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันที่ 5%

สำหรับเป้าหมายของผลการดำเนินงานในปี 63 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 5-6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 3.43 พันล้านบาท โดยที่สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปีนี้จะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 95% โดยที่จะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ Siamese สุขุมวิท 48, Exclusive 42 และ Siamese สุขุมวิท 87 โดยที่บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยูที่ 1.03 หมื่นล้านบาท

ส่วนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี่จะมีการเปิดโครงใหม่ย่านรามอินทราใกล้กับแฟชั่นไอส์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ดินที่รอการพัฒนาของบริษัท พื้นที่ 5-6 ไร่ โดยจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส 3 อาคาร แบ่งเป็น โรงแรม, Branded Residence และคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัย มูลค่าโครงการรวม 4-5 พันล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่าการออกแบบ และคาดว่าจะเปิดขายในช่วงปลายปีนี้ ราคาขายเฉลี่ยเบื้องต้น 70,000-80,000 บาท/ตารางเมตร

พร้อมกันนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเจ้บของที่ดินที่สนใจให้บริษัทเข้าไปร่วมพัฒนาในที่ดินของพันธมิตรย่านบางนา พื้นที่ 15 ไร่ เป็นโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเจรจา และบริษัทยังมองการเข้าซื้อที่ดินใหม่ในย่านบางนาเข้ามาแทน หากดีลการเจรจากับพันธมิตรเจ้าของที่ดินดังกล่าวบริษัทไม่ได้เป็นผู้ร่วมลงทุน ซึ่งจะมีการซื้อที่ดินใหม่ที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกัน พัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูของบริษัทเอง

นายขจรศิษฐ์ กล่าวว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวและมีปัจจัยลบกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์เข้ามามาก บริษัทจะเน้นในการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อทำให้ต้นทุนของบริษัทปรับตัวลดลง และทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ