ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ ไม่เกิน 4.5 พันลบ. ของ THANI ที่ "A-" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 11, 2020 11:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบมจ.ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 4.5 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี ที่ระดับ "A-" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ในการดำเนินงานและชำระคืนหนี้

อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจของทริสเรทติ้ง โดยทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของบมจ.ทุนธนชาต (TCAP) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยสัดส่วน 57.5% ณ เดือนมีนาคม 2563 โดยบริษัททุนธนชาตได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ "A/Stable" โดยทริสเรทติ้ง บริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทหลักที่สร้างรายได้และกระแสเงินสดแก่บริษัททุนธนชาต ซึ่งทริสเรทติ้งมีมุมมองว่ามีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่บริษัททุนธนชาตจะยังคงรักษาสถานะการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในระยะยาว

อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในตลาดสินเชื่อเช่าซื้อที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ รถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์และรถยนต์หรู (Luxury Car) อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงผลประกอบการทางการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทที่ปรับดีขึ้น แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่การเติบโตของสินเชื่อจะลดลง ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดในอีก 2-3 ปีข้างหน้าไว้ได้แม้ปริมาณธุรกิจจะชะลอตัวลงซึ่งเป็นไปตามภาวะอุตสาหกรรมโดยรวม

ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทจะถดถอยลงในระดับปานกลางด้วยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5%-6% จากปัจจุบันที่ 4% อันเนื่องมาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด-19 (COVID-19) อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งประเมินว่าคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลงจะไม่กระทบต่อสถานะความเสี่ยงโดยรวมของบริษัทซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายด้านเครดิตที่เข้มงวด การปรับปรุงและพัฒนากระบวนการจัดเก็บหนี้ และการมีสำรองหนี้สูญในระดับที่เพียงพอ

ฐานทุนของบริษัทซึ่งประเมินโดยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงของบริษัทอยู่ที่ 15.2% ณ สิ้นปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดการณ์อัตราส่วนดังกล่าวในระยะ 3 ปีข้างหน้า (2563-2565) อยู่ในระดับเฉลี่ยที่ 17.2% และเมื่อผนวกกับความสามารถในการสร้างรายได้ซึ่งทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าอยู่ในระดับปานกลางแล้ว ระดับ ทุน การก่อหนี้และกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งใช้อัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยในการประเมินศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไรของบริษัท

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับผลการดำเนินงานในระยะ 3 ปีข้างหน้า (2563-2565) ด้วยอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยที่ 4.2% และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยที่ 3.3% ความสามารถในการสร้างกำไรของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 20% เป็น 1.96 พันล้านบาท ในปี 2562 โดยเป็นผลจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองที่ลดลงเนื่องจากการกลับรายการสำรองหนี้สูญเพื่อรองรับการใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS9 ในปี 2563

ความกังวลของทริสเรทติ้งต่อความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและการกู้ยืมใหม่เพื่อชำระหนี้เดิมอันเป็นผลสืบเนื่องจากความเกรงกลัวต่อความเสี่ยงในตลาดตราสารหนี้ได้รับการบรรเทาลงจากความสามารถของบริษัทในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย รวมถึงวงเงินกู้ยืมที่ได้รับจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งเพิ่มเติมจากวงเงินที่ได้รับอย่างต่อเนื่องจากธนาคารธนชาตที่เป็นผู้ถือหุ้นเดิม

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในกลุ่มตลาดเป้าหมายที่มีความเชี่ยวชาญและความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรไว้ได้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังอยู่บนการคาดการณ์ว่าบริษัทจะดำรงคุณภาพสินทรัพย์ไว้ได้แม้ว่าสภาพแวดล้อมทางด้านเครดิตจะอ่อนแอ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากคุณภาพเครดิตเฉพาะของบริษัทปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ฐานทุนแข็งแกร่งมากขึ้น ด้วยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเหนือกว่าระดับ 25% และอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยมากกว่า 6% อย่างมีเสถียรภาพในระยะเวลาหนึ่ง อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากสถานะทุนของบริษัทอ่อนแอลงด้วยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงลดลงต่ำกว่า 15% ในช่วงระยะเวลาหนึ่งอย่างต่อเนื่อง หรือคุณภาพสินทรัพย์เสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรและทุนของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ