GLOBLEX มอง SET ร่วงจากวิตกโควิดระบาดรอบสอง มองกรอบ 1,310-1,370 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 14, 2020 12:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล.โกลเบล็ก (GLOBLEX) ระบุว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐพุ่งขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความกังวลว่ารัฐบาลอาจจะกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง และกังวลเพิ่มขึ้นหากมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสองในประเทศไทย อีกทั้งการเมืองในประเทศมีความเสี่ยงมากขึ้นจากการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ซึ่งนักลงทุนมีความกังวลว่าจะมีการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นต่อการลงทุน

นอกจากนี้ในช่วงสัปดาห์นี้กลุ่มสถาบันการเงินจะทยอยประกาศผลการดำเนินงานงวดครึ่งปี 2563 ออกมา ซึ่งคาดว่าตัวเลขจะปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ธนาคารออกมาตรการช่วยลูกหนี้ตามแนวนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 2 ครั้งในเดือนเม.ย. และเดือนพ.ค. และพักชำระหนี้ ยืดหนี้ให้กับลูกหนี้ จึงให้กรอบดัชนีที่ระดับ 1,310-1,370 จุด

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ปัจจัยเชิงบวกที่ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน อาทิ การทดลองวัคซีนในสหรัฐมีความคืบหน้าในทางที่ดี หลังบริษัท Gilead Sciences Inc เปิดเผยผลการทดลองยา Remdesivir พบว่าสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 62% ขณะที่โรงพยาบาลจุฬาฯ รายงานว่าวัคซีนโควิด-19 ที่ทดลองในลิงได้ผลดีมาก เตรียมทดสอบในมนุษย์ประมาณต.ค.-ธ.ค.63 และทางกระทรวงคมนาคมได้มีการรายงานว่าญี่ปุ่นแสดงความพอใจภาพการดำเนินนโยบายพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทยที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติจริง และรัฐบาลไทยยืนยันว่าจะสามารถเปิดให้บริการโครงการต่าง ๆ ภายในปี 2568 ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นต่อภาครัฐและนักลงทุนของญี่ปุ่น และเอื้อต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น

อีกทั้งราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับคาดการณ์การเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันในปี 2563 เพิ่มขึ้น 0.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากคาดการณ์ในเดือน มิ.ย. 63 เนื่องจากหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง แม้คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันในปี 2563 จะหดตัวที่ระดับ 7.9 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปี 2562

อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาปัจจัยต่างๆ อาทิ การประชุมครม. รวมทั้งจีนเปิดเผยยอดนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าเดือนมิ.ย. และสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค. และความเชื่อมั่นทางศรษฐกิจเดือนก.ค. ส่วนสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย.ในวันนี้ และในวันที่ 15 ก.ค. จะมีการเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประชุมและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และสหรัฐ เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ค.จากเฟดนิวยอร์ก ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนมิ.ย. การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะรู้ผลในช่วงเช้าวันที่ 16 ก.ค.

อีกทั้ง จีนเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/63 อัตราว่างงาน ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในเดือนมิ.ย. และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประชุมและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ส่วนสหรัฐก็จะมีการเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. ดัชนีการผลิตเดือนก.ค. ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ค.

นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก แนะลงทุนในหุ้น Defensive Stock เช่น ADVANC, INTUCH, DIF, TTW, BEM, BTS, CHG และ BCH รวมทั้งหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ดี เช่น WICE, TASCO และ CPF หุ้นที่ได้ประโยชน์จากแพ็คเกจ "เราเที่ยวด้วยกัน" เช่น ERW, CENTEL, BA และ ASAP

ส่วนราคาทองคำ ประเมินสัปดาห์นี้ราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของกองทุน SPDR และความกังวลการแพร่ระบาดรอบ 2 ของโควิด-19 สำหรับผู้ที่มีสถานะให้ถือสถานะที่มีเพื่อรันเทรนด์ ส่วนผู้ที่รอซื้อเน้นซื้อจังหวะย่อตัว โดยคาดกรอบราคาทองคำที่ 1,770 -1,830 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือเทียบเท่าทองคำไทย 26,130-27,100 บาทต่อบาททองคำ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ