MK จับมือ MINT-BH ร่วมโปรเจ็คท์"รักษ"ศูนย์รวมสุขภาพ มูลค่ากว่า 2 พันลบ.เปิดธ.ค.63

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 10, 2020 18:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มั่นคงเคหะการ (MK) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการ "รักษ" ตั้งอยู่ในพื้นที่คุ้งบางกะเจ้า เป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในเอเชีย ภายใต้คอนเซ็ป "Fully Intergrative Wellness & Medical Retreat" มูลค่าโครงการรวมกว่า 2 พันล้านบาท เตรียมเปิดให้บริการภายในเดือนธ.ค. 63 ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนของ MK ที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจเพื่อขายและธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ (Recurring Income) ให้มีสัดส่วนกำไรเป็น 50:50 ภายในปี 64

สำหรับการลงทุนพัฒนาโครงการ "รักษ" บริษัทได้จับมือกับไมเนอร์ โฮเทลส์ บริษัทในเครือของบมจ.ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) และบมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) เพื่อนำความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการโรงแรมระดับโลก และความเชี่ยวชาญทางด้านการบริการทางการแพทย์เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการให้บริการด้านสุขภาพของโครงการ "รักษ" ที่จะทำให้เป็นโครงการชั้นนำของประเทศไทยและเอเชีย

โดยการแบ่งรายได้ของโครงการ "รักษ" จะเป็นในลักษณะการแบ่งสัดส่วนรายได้จากการให้บริการทางการแพทย์ของไวทัลไลฟ์ ซึ่งให้บริการโดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดยที่บริษัทจะได้รับส่วนแบ่งรายได้ 15% จากรายได้ค่าบริการทางการแพทย์ และในส่วนของวิลล่าพักอาศัยบริษัทจะได้รับค่าบริการเข้ามาทั้งหมด โดยว่าจ้างไมเนอร์ โฮเทลส์ เป็นผู้บริหารจัดการวิลล่าพักอาศัย สัญญาบริหาร 10 ปี โดยที่บริษัทเป็นผู้ลงทุนโครงการทั้งหมดบนพื้นที่ 200 ไร่ซึ่งในเฟสแรกจะพัฒนา 60 ไร่ มีวิลล่า 60 หลัง แต่จะเริ่มเปิดให้บริการในช่วงแรกก่อน 27 หลัง และจะทยอยเปิดตามมา

ช่วงแรกของการเปิดให้บริการโครงการ "รักษ" ในช่วงเดือนธ.ค. 63 ไปจนถึงต้นปี 64 คาดว่ากลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจะเป็นกลุ่มลูกค้าในประเทศก่อน และหลังจากเริ่มเปิดประเทศคาดว่าจะมีลูกค้าชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของโครงการ และตั้งเป้าอัตราการเข้าพัก (OCC) ของโครงการเพิ่มเป็น 30% ภายใน 1 ปี และปี 65 จะเพิ่มเป็น 50% และคาดว่าจะใช้ระยะเวลาการคืนทุน 5-7 ปี พร้อมกับวางแผนในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเริ่มพัฒนาเฟส 2 ต่อไป เพื่อขยายการรองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการที่มากขึ้นในอนาคต

นายวรสิทธิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทมั่นใจว่ายอดขายยังเป็นไปตามเป้า 2.9 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับเป้าหมายขึ้นจากเดิมที่ตั้งไว้ 2.7 พันล้านบาท หลังจากที่สถานการณ์การขายโครงการแนวราบทำยอดขายได้ค่อนข้างดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยในช่วงไตรมาส 1/63 ทำยอดขายได้ 500 ล้านบาทและเพิ่มขึ้นมาเป็น 800 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 2/63 ขณะที่ในช่วงไตรมาส 3/63 คาดว่ายอดขายจะมากกว่าไตรมาสแรก แต่ไม่เท่ากับไตรมาส 2 เนื่องจากไตรมาส 3 บริษัทไม่ได้เปิดโครงการใหม่ ซึ่งโครงการแนวราบใหม่ จำนวน 2 โครงการ มูลค่า 1.7 พันล้านบาทจะเปิดในช่วงไตรมาส 4/63 ซึ่งจะทำให้ยอดขายกลับมาเพิ่มขึ้นได้

ทั้งนี้ บริษัทยังมั่นใจรายได้ในปี 63 จะทำได้ตามเป้าหมาย 4 พันล้านบาท โดยที่มีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อีก 300 ล้านบาท ที่จะเข้ามารับรู้รายได้ทั้งหมดในช่วงครึ่งปีหลัง และยังเดินหน้าระบายสต็อกที่เหลือขายอีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท จาก 12 โครงการ เข้ามาสนับสนุนรายได้ของบริษัท อีกทั้งยังมั่นใจผลการดำเนินงานทั้งปีนี้จะพลิกมีกำไร หลังจากครึ่งปีแรกมีผลขาดทุนราว 95 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะทยอยโอนโครงการเข้ามามากขึ้น และจะมีกำไรจากการขายคลังสินค้าเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (PROSPECT) มูลค่า 3.5 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะบันทึกกำไรเข้ามาในช่วงปลายปีนี้

ขณะที่สนามกอล์ฟของบริษัท คือ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี่ คลับ (ชวนชื่น) ปทุมธานี ปัจจุบันมีอัตราการเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นมาที่ 90% โดยที่สมาชิกนักกอล์ฟในประเทศเริ่มกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ และลูกค้าส่วนใหญ่ได้เข้ามาใช้บริการอาหารและเครื่องดื่มภายในสนามกอล์ฟเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงปกติ เนื่องจากมีความมั่นใจคุณภาพอาหารและเครื่องดื่มภายในสนามกอล์ฟของบริษัท ซึ่งช่วยเข้ามาเสริมรายได้ของสนามกอล์ฟ แต่ยอมรับว่ารายได้ของสนามกอล์ฟในปี 63 ได้รับผลกระทบจากการปิดให้บริการในช่วงล็อกดาวน์ไปเกือบ 2 เดือน ส่วนคลังสินค้าของบริษัทในโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ยังมีอัตราการเช่าที่ดีต่อเนื่อง 90% และสามารถสร้างรายได้เข้ามาให้กับบริษัทอย่างสม่ำเสมอ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ