นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ KEST กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับสถาบันการเงินในยุโรปและสหรัฐ เพื่อร่วมมือในลักษณะ Eclusive Partner ซึ่งบริษัทแม่ในสิงคโปร์เปิดโอกาสให้มี Partnerได้ และเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ของบริษัทให้เติบโตได้อีกทางหนึ่ง สำหรับในปีนี้ KEST คาดหวังว่ารายได้และกำไรจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำรายได้ 1.97 พันล้านบาท และกำไรที่ 532.8 ล้านบาท ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ว่ามูลค่าการการซื้อขายในตลาดหุ้น(วอลุ่ม)เฉลี่ยต่อวันที่ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท และ KEST มีมาร์เก็ตแชร์ที่ 8-9% ตามเป้า ก็จะทำให้รายได้และกำไรใกล้เคียงกับปีก่อนได้ ส่วนบริการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเตอร์เน็ต(อินเตอร์เนต เทรดดิ้ง) ปัจจุบัน KEST มีส่วนแบ่งตลาด 12% แต่เชื่อว่าในอนาคตน่าจะมีโอกาสเติบโตได้อีกมาตามเทคโนโลยีและความสะดวกสบายในการซื้อขาย ด้านรายได้จากงานวาณิชธนกิจ(IB) ก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกับปีก่อนที่มีรายได้ 62 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีดีลเป็นที่ปรึกษากระจายหุ้น IPO 1 ดีล, ดีลควบรวมกิจการ(M&A) 2-3 ดีล และ เป็นที่ปรึกษาจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์อีก 1 กอง ซึ่งในส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะพยายามเร่งจัดตั้งให้ทันปีนี้ หรืออย่างช้าในไตรมาส 1/51 นายมนตรี กล่าวว่า การที่มีกองทุน ETF เข้ามาเทรดในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ 6 ก.ย.นี้เชื่อว่าน่าจะส่งผลดีต่อรายได้ของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ แต่ในส่วนของ KEST คงจะมีรายได้จากส่วนนี้ไม่หวือหวามากนัก KEST มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้โดยพื้นฐานเชื่อว่ายังมีทิศทางที่ดีทั้งปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาที่เกิดปัญหาซับไพร์มขึ้นจะทำให้มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปบางส่วน โดยยังคงเป้าดัชนีปีนี้ที่ 1,000 จุด ขณะที่ตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ปัจจุบันมีลูกค้า 800 บัญชี เชื่อว่าในอนาคตจะมีมูลค่าต่อบัญชีเพิ่มมากขึ้น และหากมี Index Options เข้ามาเทรดอีก น่าจะส่งผลให้รายได้กระจายตัวไปในส่วนอื่นด้วย