"เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์"ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 260 ล้านหุ้น เข้า mai

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 20, 2020 15:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ (PACO) ยื่นไฟลิ่ง version แรก เมื่อวันที่ 19 ต.ค.63 เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 260 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 26.00 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ และมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ เพื่อใช้ชำระคืนเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงิน, ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ และใช้ลงทุนในโครงการอนาคต

PACO ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่เครื่องปรับอากาศรถยนต์ทดแทน ให้แก่ลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการส่งออกสินค้าครอบคลุมถึงตลาดในทวีปเอเชีย อเมริกาเหนือ ยุโรป อเมริกาใต้ และออสเตรเลีย ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ ประกอบไปด้วย กลุ่มผู้ค้าชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ที่ซึ่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพื่อนำไปจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการให้กับผู้บริโภคในตลาดอะไหล่รถยนต์ทดแทน (Replacement Equipment Manufacturer หรือ REM) , กลุ่มผู้จัดหาวัตถุดิบซึ่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพื่อนำไปรองรับการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ตามศูนย์บริการรถยนต์ (Original Equipment Spare Part หรือ OES) และกลุ่มผู้ประกอบรถยนต์ซึ่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพื่อนำไปประกอบรถยนต์ (Original Equipment Manufacturer หรือ OEM)

โดยบริษัทฯ มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทย และมีโรงงานผลิตจำนวน 3 แห่ง และคลังสินค้าอีก 1 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรสาครทั้ง 4 แห่ง และศูนย์กระจายสินค้าอีก 1 แห่งในจังหวัดกรุงเทพฯ (เขตบางบอน) โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการขยายกำลังการผลิตและศึกษาข้อมูลเพื่อพัฒนาสินค้าตลาดชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศรถยนต์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนรุ่นสินค้ามากกว่า 2,600 รุ่น ซึ่งครอบคลุมรุ่นรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ ทั่วโลก

ผลการดำเนินงานของบริษัท ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 มีสินทรัพย์รวม 993.77 ล้านบาท หนี้สินรวม 515.55 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 478.22 ล้านบาท โดย 6 เดือนแรกปี 2563 มีรายได้จากการขาย 353.89 ล้านบาท รายได้รวม 364.15 ล้านบาท ต้นทุนขาย 269.82 ล้านบาท กำไรสุทธิ 46.20 ล้านบาท

ในปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายลดลงจาก 784.19 ล้านบาทในปี 2560 เหลือ 644.93 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 17.52 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากการขายในกลุ่มลูกค้าในตลาดตะวันออกกลาง โดยลดลงจาก 205.94 ล้านบาทในปี 2560 เป็น 142.32 ล้านบาทในปี 2561 หรือลดลงร้อยละ 30.89 เนื่องจากตลาดในตะวันออกกลางได้มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบการนำเข้าและภาษีศุลกากร ส่งผลให้ลูกค้าในตลาดตะวันออกกลางของบริษัทฯ ชะลอการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัทฯ ในขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทฯ ลดลงเหลือ 29.02 ล้านบาท จาก 42.57 ล้านบาทในปี 2560 โดยมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นเป็น 28.09 ล้านบาท จาก 25.01 ล้านบาทในปี 2560

ส่วนปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 644.93 ล้านบาทในปี 2561 เป็น 678.33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.52 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายในกลุ่มลูกค้าในตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 142.32 ล้านบาทในปี 2561 เป็น 180.80 ล้านบาทในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.04

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันทางด้านราคาในแถบอเมริกาเหนือค่อนข้างสูง โดยต้นทุนการผลิตของบริษัทฯ ในปี 2562 ยังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในประเทศจีน จึงทำให้รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ในตลาดอเมริกาเหนือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับปี 2562 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2561 ที่ 30.67 ล้านบาท

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายลดลงเหลือ 353.89 ล้านบาท จาก 361.35 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 2.06 โดยการลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ของคอยล์ร้อนลดลงเหลือ 240.76 ล้านบาท ในงวด 6 เดือนแรกปี 2563 จาก 259.62 ล้านบาท ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 7.26

โครงการในอนาคต บริษัทฯมีการวางแผนโครงการในอนาคตไว้ทั้งหมด 2 โครงการ ซึ่งได้แก่ โครงการก่อสร้างคลังสินค้าและย้ายจุดกระจายสินค้าในประเทศ และจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าและขยายตลาดในประเทศมาเลเซีย ดังนี้

โครงการก่อสร้างคลังสินค้าและย้ายจุดกระจายสินค้าในประเทศ บริษัทฯ มีแผนที่จะก่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่ เพื่อเป็นจุดกระจายสินค้าของบริษัท โดยจะก่อสร้างคลังสินค้าและจุดกระจายสินค้าแห่งใหม่จากที่ดิน 3 ไร่ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯที่ตั้งติดกับโรงงาน ซอยวปอ. 11 (พิเศษ) ถนนเศรษฐกิจ1 ตำบลสวนหลวง อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร แทนการใช้คลังสินค้าในปัจจุบันที่ตั้งอยู่เขตบางบอน ซึ่งบริษัทฯ จะสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายซึ่งประกอบไปด้วยค่าเช่าที่ดิน (สัญญาครบกำหนดใน ปี 2565) และค่าขนส่งสินค้าจากโรงงานไปยังคลังสินค้าบางบอนเป็นระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร โดยงบค่าใช้จ่ายในการลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2565 (ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 15 เดือน)

ปัจจุบันบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกไปขายให้แก่ตัวแทนจำหน่ายในประเทศมาเลเซีย (Local Distributor) บริษัทฯ จึงเล็งเห็นศักยภาพและโอกาสการเติบโตในการขยายตลาด และทำการตลาดอย่างจริงจัง จึงได้มีแผนที่จะจัดตั้งบริษัทย่อยถือหุ้นโดยบริษัทฯ ทั้งจำนวน เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์กระจายสินค้าและสำนักงานขายในประเทศมาเลเซียขึ้น โดยมีสถานที่ตั้งโครงการกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เช่าที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง สำหรับเป็นศูนย์กระจายสินค้าและสำนักงานขาย เนื้อที่ใช้สอยประมาณ 25,000 ตารางฟุต เงินลงทุนในโครงการประมาณ 20 ล้านบาท (ไม่รวมสินค้า และเงินทุนหมุนเวียน)

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 500 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 370 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 740 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรกจำนวน 260 ล้านหุ้นในครั้งนี้แล้ว บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วทั้งสิ้น 500 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญชำระแล้วจำนวน 1,000 ล้านหุ้น

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทประกอบด้วย กลุ่มคุณสมชาย เลิศขจรกิตติ และครอบครัว รวมถือหุ้น 444 ล้านหุ้น คิดเป็น 60% ภายหลังเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 44.40% และกลุ่มคุณสมศักดิ์ เลิศขจรกิตติ และครอบครัว ถือหุ้น 296 ล้านหุ้น คิดเป็น 40% ภายหลังเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 29.60%

บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ