ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ESSO ที่ A แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 9, 2020 16:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างบริษัทกับ Exxon Mobil Corporation และบริษัทในเครือ (ExxonMobil Group) ประกอบกับการมีโรงกลั่นน้ำมันที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร รวมถึงการมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับสูงและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันด้วย นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมัน

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

-ได้รับผลกระทบรุนแรงจากความผันผวนของตลาดน้ำมัน

สงครามราคาน้ำมันที่รุนแรงประกอบกับการเกิดโรคระบาดโควิด 19 ที่ไม่คาดคิดส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานของน้ำมันโลกเป็นอย่างมาก โดยความผันผวนในตลาดน้ำมันส่งผลให้บริษัทประสบผลขาดทุนเป็นอันมากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการขาดทุนจากสินค้าคงเหลือรวมถึงการลดลงอย่างมากของค่าการกลั่น

การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เริ่มต้นในช่วงปลายไตรมาสแรกของปี 2563 ประกอบกับมีสงครามราคาน้ำมันระหว่างประเทศผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงไปอยู่ที่ 21 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในเดือนเมษายน 2563 จาก 64 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในเดือนมกราคม 2563 ส่งผลให้โรงกลั่นน้ำมันประสบผลขาดทุนจากสินค้าคงเหลือในทันที แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะค่อย ๆ ฟื้นตัวอยู่ในช่วง 40-45 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยผลขาดทุนจากสินค้าคงเหลือที่รับรู้ไปในครึ่งแรกของปีได้

อุปสงค์น้ำมันที่อ่อนแอโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบิน ทำให้ค่าการกลั่นอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยความต้องการน้ำมันอากาศยานได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ดังนั้น โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งจึงพยายามลดการกลั่นน้ำมันอากาศยานให้น้อยที่สุด โดยพยายามเปลี่ยนการกลั่นน้ำมันอากาศยานให้กลายเป็นน้ำมันดีเซลแทน บริษัทมีค่าการกลั่นรวม (ค่าการกลั่นฐานรวมกับผลกำไรขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ) ลดลงจนขาดทุน 6.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 เปรียบเทียบกับที่ได้กำไร 3.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในช่วงเดียวกันของปี 2562

จากอุปสงค์ที่ลดลงส่งผลให้บริษัทลดกำลังการผลิต โดยบริษัทใช้กำลังการกลั่นน้ำมันดิบที่ 114 พันบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นอัตรากำลังการผลิตที่ 66% บริษัทจึงบันทึกผลขาดทุนจำนวน 8.3 พันล้านบาท และขาดทุนก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ 8.2 พันล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563

-เป็นส่วนหนึ่งของ ExxonMobil Group

การคงอันดับเครดิตดังกล่าวได้พิจารณาถึงสถานะของบริษัทที่เป็นหนึ่งในโรงกลั่นใน ExxonMobil Group ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจปิโตรเลียมและโรงกลั่นน้ำมันแบบครบวงจรของโลก อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่บริษัทได้รับการสนับสนุนจาก ExxonMobil Group มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่คาดว่าบริษัทมีโอกาสสูงที่จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก ExxonMobil Group ในสถานการณ์ที่จำเป็น

ในด้านการดำเนินงานบริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานระดับโลกของ ExxonMobil Group ในการจัดหาน้ำมันดิบและสารตั้งต้นอื่น ๆ นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและปิโตรเคมีผ่านทางเครือข่ายของกลุ่ม และนำเทคโนโลยีของ ExxonMobil Group มาปรับใช้และรักษามาตรฐานในการดำเนินงานโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานปิโตรเคมีเช่นเดียวกับมาตรฐานของกลุ่มด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติในการบริหารจัดการซึ่งพัฒนาโดย ExxonMobil Group ผ่านสัญญาต่าง ๆ ที่มีกับกลุ่มอีกด้วย และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือบริษัทได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก ExxonMobil Group อย่างเป็นระยะซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกทางหนึ่งด้วย

-โรงกลั่นน้ำมันที่มีความยืดหยุ่น

โรงกลั่นของบริษัทจัดอยู่ในกลุ่มโรงกลั่นที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพระดับแถวหน้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งมีการดำเนินงานที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสูง บริษัทมีโรงกลั่นน้ำมันแบบ Complex ที่เชื่อมต่อกับโรงงานอะโรเมติกส์ซึ่งช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการปรับสัดส่วนน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์

บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการดำเนินงานในการปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปเพื่อรองรับกับอุปสงค์น้ำมันอากาศยานที่หายไป โดยบริษัทได้ปรับเปลี่ยนการผลิตน้ำมันอากาศยานให้เป็นการผลิตน้ำมันดีเซลแทน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทสามารถผลิตน้ำมันดีเซล 41% น้ำมันเบนซิน 20% สารตั้งต้นสำหรับปิโตรเคมี 18% น้ำมันอากาศยานและน้ำมันก๊าด 3% น้ำมันเตา 8% และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีก 10% โดยสัดส่วนการผลิตน้ำมันอากาศยานลดลงเป็นอย่างมากจาก 9% ในปี 2562

-มีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง

บริษัทมีสถานภาพทางการตลาดที่แข็งแกร่งในประเทศไทยจากการที่บริษัทมีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันภายใต้เครื่องหมายการค้า "Esso" ที่กว้างขวาง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทมุ่งเน้นการขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันรวมถึงปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันและนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงใหม่ ๆ ในตลาด เครือข่ายสถานีบริการน้ำมันของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากประมาณ 500-550 แห่งในช่วงปี 2555-2560 เป็น 676 แห่ง ณ เดือนกันยายน 2563

การมีเครื่องหมายการค้าที่แข็งแกร่งช่วยหนุนให้บริษัทสามารถจำหน่ายน้ำมันคุณภาพสูงและสินค้าที่เกี่ยวข้องผ่านสถานีบริการน้ำมันของบริษัทได้ นอกจากนี้ สถานีบริการน้ำมันของบริษัทยังมียอดจำหน่ายน้ำมันต่อสถานีที่ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งส่วนใหญ่รายอื่น ๆ อีกด้วย บริษัทยังมุ่งเน้นธุรกิจเสริมเพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่จะเพิ่มกำไรให้กับบริษัทจากช่องทางค้าปลีกเพื่อช่วยลดความผันผวนจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน

-การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ความพยายามในการสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลงของบริษัทมีความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงภายในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย ผู้ค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงหลายรายได้เพิ่มจำนวนสถานีบริการน้ำมันอย่างรวดเร็ว อีกทั้งผู้ประกอบการแต่ละรายก็ยังทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดด้วย นอกจากนี้ ผู้ค้าปลีกน้ำมันหลายรายได้ลงทุนเป็นอย่างมากในการปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันและนำเสนอสินค้าและบริการอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันในสถานีบริการ การปรับเปลี่ยนโฉมสถานีบริการน้ำมันเกิดอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรม

การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้ความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2563 ซึ่งมีการแพร่ระบาดเป็นอย่างมากลดลงถึง 25% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ยอดจำหน่ายผ่านสถานีบริการในเดือนเมษายน 2563 ลดลงถึง 20% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยอดจำหน่ายผ่านสถานีบริการได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากที่มีการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด จนทำให้อุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงก่อนการแพร่ระบาด

-ผลการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะค่อยๆ ดีขึ้น

ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อย ๆ ดีขึ้นในอนาคต โดยคาดว่าจะไม่เกิดการขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจากสินค้าคงเหลืออีกในช่วงประมาณการ ซึ่งผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะดีขึ้นนั้นเนื่องจากทริสเรทติ้งเห็นว่าราคาน้ำมันและค่าการกลั่นน่าจะฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าการแพร่ระบาดของโควิด 19 จะยังคงส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของน้ำมันเชื้อเพลิงรวมถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรม แม้ว่าการพัฒนาวัคซีนจะสร้างความหวังสำหรับการฟื้นตัว แต่ทริสเรทติ้งก็ไม่คาดว่าค่าการกลั่นจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจนเท่ากับระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

ทริสเรทติ้งคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ประมาณ 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2563 และเพิ่มเป็น 45 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564 และ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565-2566 สำหรับค่าการกลั่นนั้นอาจจะใช้เวลา 1-2 ปีในการฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับปกติ จากประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะประสบผลขาดทุนก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายประมาณ 6.5-7.5 พันล้านบาทในปี 2563 สะท้อนถึงค่าการกลั่นที่ยังคงอ่อนแอ โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทยังคงมีแรงกดดันสูงเนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบยังอยู่ในระดับที่ต่ำในเกือบทุกผลิตภัณฑ์

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ประมาณ 70% ณ สิ้นปี 2563 และคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะกลับมามีกำไรอยู่ประมาณ 4.0-5.0 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566 ในขณะที่คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ในระดับมากกว่า 6 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะอยู่ที่ประมาณ 60%-70% ในช่วงปี 2564-2566

-สภาพคล่องเป็นที่น่าพอใจ

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับการจัดการภาระหนี้ที่จะครบกำหนดในระยะ 12 เดือนข้างหน้าได้ โดย ณ เดือนกันยายน 2563 บริษัทมีเงินสดในมือประมาณ 350 ล้านบาทและมีเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากธนาคารพาณิชย์ประมาณ 1.89 หมื่นล้านบาท และวงเงินสำรองจาก ExxonMobil Group มากกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระต้องชำระคืนเงินกู้ระยะยาวให้แก่ธนาคารจำนวน 2.0 พันล้านบาทในระยะ 12 เดือนข้างหน้า

-การสนับสนุนทางการเงินช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัท

จากความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับ ExxonMobil Group ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก ExxonMobil Group ต่อไปโดยเห็นได้จากวงเงินกู้ที่บริษัทได้รับในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2563 ประมาณ 2 ใน 3 ของเงินกู้รวมของบริษัทเป็นวงเงินที่ได้รับจาก ExxonMobil Group และนอกเหนือจากเงินกู้ดังกล่าวแล้ว ExxonMobil Group ยังให้การสนับสนุนวงเงินกู้อีกจำนวน 5.4 หมื่นล้านบาทแก่บริษัทด้วยซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการเบิกใช้

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ประมาณ 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2563 และ 45 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564 และ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565-2566

ค่าการกลั่นของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 3-4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในระหว่างปี 2564-2566

กำลังการกลั่นน้ำมันดิบของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 125-135 พันบาร์เรลต่อวันในช่วงปี 2564-2566

ประมาณการเงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ได้พิจารณาถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่บริษัทมีกับ ExxonMobil Group และความคาดหวังของทริสเรทติ้งที่คาดว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนจาก ExxonMobil Group ด้วย นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจปิโตรเลียมภายในประเทศเอาไว้ได้และจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจากการค่อย ๆ ฟื้นตัวของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

-โอกาสที่บริษัทจะได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัด แต่ก็มีความเป็นไปได้หากผลประกอบการของบริษัทฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการมีกำไรที่ดีขึ้นเป็นอย่างมากรวมถึงมีภาระหนี้ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีโอกาสที่จะลดระดับลงหากบริษัทมีผลประกอบการอ่อนแอลงไปเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือระดับการสนับสนุนที่ได้จาก ExxonMobil Group ลดน้อยถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ