ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ 1.8 พันลบ.ของ NOBLE ที่ BBB-/Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 3, 2021 13:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ที่ระดับ "BBB" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ "BBB-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.8 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB-" ด้วย

อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมที่ได้รับการจัดอันดับเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 เนื่องจากบริษัทมีความประสงค์ที่จะเพิ่มวงเงินรวมของหุ้นกู้เป็น 1.8 พันล้านบาท จากเดิม 1.3 พันล้านบาท อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กร 1 ระดับเนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่มีหลักประกันต่อสินทรัพย์รวมอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และใช้ในการดำเนินงาน

อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้สะท้อนแบรนด์สินค้าของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางถึงบน ตลอดจนยอดขายรอการรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวนมากของบริษัทที่จะช่วยประกันรายได้ในอนาคตของบริษัทส่วนหนึ่งและช่วยลดความผันผวนของผลการดำเนินงานในอนาคตลง อันดับเครดิตยังคำนึงถึงภาระหนี้ในระดับค่อนข้างสูง ประกอบกับความกังวลต่อผลกระทบในเชิงลบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อความต้องการที่อยู่อาศัยและความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระยะสั้นถึงปานกลางเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ยอดขายของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 เติบโต 67% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 6.1 พันล้านบาทแม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าการมีสินค้าที่หลากหลายมากขึ้นและฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นจะช่วยให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะยาวได้ ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายของบริษัทจะปรับดีขึ้นเป็น 8 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565 ตามแผนการเปิดโครงการที่มากขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้

รายได้จากการขายที่อยู่อาศัยของบริษัท (ไม่รวมการขายที่ดินเปล่าและการขายสินทรัพย์มูลค่ารวม 7.7 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้น 65% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 7.1 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 จากสมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ที่ 8 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2566 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะอยู่ในช่วง 2-2.5 พันล้านบาทต่อปี รายได้และกำไรในอนาคตของบริษัทได้รับแรงหนุนส่วนหนึ่งจากยอดขายรอการรับรู้รายได้จำนวนมากเสริมด้วยยอดขายจากจำนวนยูนิตที่เหลือขายในโครงการระหว่างการพัฒนา

ณ เดือนกันยายน 2563 โครงการระหว่างการพัฒนาของบริษัทประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียมที่บริษัทพัฒนาเอง 15 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุน 1 โครงการ และโครงการบ้านจัดสรร 3 โครงการ ยอดขายรอการรับรู้รายได้ของบริษัทมูลค่า 1.54 หมื่นล้านบาทคาดว่าจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าได้ในช่วงที่เหลือของปี 2563 ถึงปี 2566 รายได้ที่จะมีการรับรู้อย่างต่อเนื่องจากยอดขายรอการส่งมอบจะช่วยลดความผันผวนในรายได้และกำไรของบริษัท โครงการของบริษัทมีมูลค่าเหลือขาย (รวมทั้งยูนิตที่สร้างเสร็จแล้วและที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง) จำนวน 1.34 หมื่นล้านบาท โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 91% ที่เหลือเป็นโครงการบ้านจัดสรร ทั้งนี้ บริษัทมีสินค้าเหลือขายสร้างเสร็จมูลค่าประมาณ 4 พันล้านบาทซึ่งสามารถรับรู้รายได้ทันทีเมื่อมีการขาย

เนื่องจากอุปสงค์ในตลาดคอนโดมิเนียมจากทั้งผู้ซื้อในประเทศและต่างประเทศที่ชะลอตัวลง ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมจะระมัดระวังในการเปิดโครงการใหม่มากขึ้น ทั้งนี้ ยังคาดการณ์ว่าการแข่งขันด้านราคาในตลาดคอนโดมิเนียมจะยังทวีความรุนแรงต่อไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นและต้นทุนค่าที่ดินที่แพงขึ้นด้วย นอกจากนี้ แผนการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรที่เพิ่มมากขึ้นก็จะเป็นแรงกดดันที่ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงด้วยเนื่องจากโดยปกติอัตรากำไรของโครงการบ้านจัดสรรจะต่ำกว่าโครงการคอนโดมิเนียมแต่ก็ใช้เงินลงทุนในการพัฒนาโครงการที่ต่ำกว่า ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยของบริษัทอาจลดลงเป็น 32%-33% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมในช่วงปี 2565-2566 จาก 36%-38% ในช่วงปี 2563-2564 ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ระดับเกินกว่า 10% ในช่วงระยะเวลาที่ประมาณการ

อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2562 จากการจ่ายเงินปันผลพิเศษจำนวนมากถึง 5.5 พันล้านบาทในปีนั้น จึงทำให้ฐานเงินทุนของบริษัทลดลง และส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 61%-63% ในช่วงปี 2562 ถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนเท่ากับ 1.4-1.6 เท่าในช่วงปี 2562 ถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วง 3 ปีข้างหน้าเนื่องจากบริษัทจะขยายการพัฒนาโครงการทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร ซึ่งมีทั้งโครงการของบริษัทเองและโครงการภายใต้การร่วมทุน

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะยังคงอยู่ในระดับ 61%-64% รวมถึงคาดว่าบริษัทน่าจะคงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้สูงกว่า 10% ได้ในระยะยาว

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 3.3 พันล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้ 2.6 พันล้านบาท (รวมหุ้นกู้ 1.05 พันล้านบาทซึ่งครบกำหนดชำระในเดือนพฤศจิกายน 2563 และบริษัทได้ออกหุ้นกู้ใหม่ทดแทนแล้ว) และเงินกู้โครงการระยะยาว 0.7 พันล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2563 แหล่งที่มาของสภาพคล่องประกอบด้วยเงินสดในมือ 2.7 พันล้านบาท และวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิก 1.4 พันล้านบาท รวมถึงเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทจะจ่ายชำระคืนเงินกู้โครงการด้วยกระแสเงินสดจาการโอนโครงการคอนโดมิเนียม และบริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระ

แนวโน้มอับดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในระดับ 10%-15% ได้อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินอ่อนแอลงจากที่คาดการณ์ไว้ ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นหากขนาดธุรกิจของบริษัทใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้นอย่างมากจากระดับปัจจุบันโดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินยังคงสูงกว่า 20% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนต่ำกว่า 60% อย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ