STEC มั่นใจสถาบันใน-ตปท.กลับเข้าลงทุนหลังพ้นผิดคดีทุจริตโรงไฟฟ้าขนอม

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 3, 2021 18:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) เปิดเผยว่า หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีหนังสือลงวันที่22 ก.พ. 64 แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีอาญาฟ้อง STEC และกรรมการผู้จัดการ กรณีทุจริตโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนอม ทำให้แรงกดดันในเรื่องการฟ้องร้องที่เกิดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคลี่คลายลง และส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นในตัวของบริษัทที่กลับมาเพิ่มขึ้น สะท้อนภาพที่ดีให้กับบริษัทที่มีการรักษาธรรมาภิบาลที่ดีมาต่อเนื่องกลับมาอีกครั้งในสายตาของนักลงทุน และผู้ถือหุ้นบริษัท

โดยในช่วงที่เกิดการฟ้องร้องและการสืบสวนขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 62 บริษัทยอมรับว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างมากในเรื่องภาพลักษณ์ของการเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลที่ดี เพราะมีผลกระทบทำให้สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) หยุดการประเมินธรรมาภิบาลของบริษัทไปชั่วคราวตั้งแต่เกิดการฟ้องร้องขึ้น ส่งผลกระทบมาถึงการชะลอเข้าลงทุนเพิ่มของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ และเป็นแรงกดดันต่อราคาหุ้นของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา

แต่หลังจากที่ป.ป.ช.แจ้งผลพิจารณาไม่ยี่นฟ้องบริษัทและกรรมการบริษัทแล้วนั้น สะท้อนความมั่นใจในการที่บริษัทยังมีการรักษาธรรมภิบาลในการดำเนินธุรกิจที่ดีมาต่อเนื่อง และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับนักลงทุนและผู้ถือหุ้นกลับมาอีกครั้ง และจะช่วยดึงดูดให้นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนในบริษัทมากขึ้น และจะเป็นปัจจัยบวกให้กับราคาหุ้นของบริษัทฟื้นกลับมาได้ โดยที่บริษัทเตรียมเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันร่วมกับบล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) ในวันที่ 10 มี.ค. 64

"เชื่อว่าคดีโรงไฟฟ้าขนอมที่คลี่คลายลงแล้ว จะเป็นช่วย Improve ราคาหุ้นของบริษัทได้ ภาพลักษณ์การเป็นบริษัทที่มี CG ที่ดีกลับมาอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนต่างๆที่สนใจในตัวของบริษัทจะกลับเข้ามาลงทุนได้ ตอนนี้ทิศทางของบริษัทก็เริ่มเห็นเมฆหมอกที่หายไป แต่ในส่วนการฟ้องกลับป.ป.ช.หรือไม่นั้นขอพิจารณาอีกครั้ง หรือเป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการบริษัทและผู้ถือหุ้น"นายภาคภูมิ กล่าว

ด้านแนวโน้มผลงานของบริษัทในปี 64 ตั้งเป้ารายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ทำรายได้ไป 3.6 หมี่นล้านบาท โดยที่จะทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ (Backlog) ราว 1 แสนล้านบาทเข้ามา พร้อมกับเดินหน้าประมูลงานใหม่เข้ามามูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเตรียมเข้าประมูลงานโครงการภาครัฐใหม่ๆที่เตรียมจะออกมาในปีนี้มูลค่าราว 3-4 หมื่นล้านบาท โดยมีงานที่บริษัทอยู่ระหว่างการติดตามและเตรียมเข้าประมูล ได้แก่ งานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่างาน 8 หมื่นล้านบาท งานก่อสร้างรถไฟรางคู่ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) 2 เส้น ได้แก่ เส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 3 สัญญา มูลค่า 7 หมื่นล้านบาท และเชียงใหม่-นครพนม 2 สัญญา มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท โครงการก่อสร้างรถไฟฟฟ้าสายสีส้มที่เลื่อนออกไป มูลค่า 8-9 หมื่นล้านบาท และงานอื่นๆที่จะทยอยออกมา สำหรับการประมูลงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่เลื่อนออกไปนั้น บริษัทยังต้องรอพิจารณาเกณฑ์ใหม่ที่จะออกมาว่าเป็นอย่างไร และดูท่าทีของพันธมิตร คือ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ว่าจะเดินหน้าประมูลต่อไปหรือไม่ ซึ่งบริษัทยังทีความพร้อมในการประมูลในโครงการดังกล่าว แต่ยังต้องพิจารณาร่วมกับพันธมิตรด้วย "การประมูลงานยังมีต่อเนื่อง เราก็ตั้งเป้าคว้างานใหม่เข้ามาเพิ่มในปีนี้อีก 4 หมื่นล้านบาท เพื่อรักษา Backlog ให้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท แม้ว่าเราจะมองงานของภาครัฐในปีนี้จะออกมาไม่ครบ 6-7 แสนล้านบาทก็ตาม ซึ่งคาดว่าจะออกมาได้ 3-4 แสนล้านบาท เพราะผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ภาครัฐต้องนำงบประมาณส่วนหนึ่งไปเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทำให้งบประมาณที่จะใช้ในการลงทุนโครงการใหม่ๆบางงานอาจจะเลื่อนไปได้"นายภาคภูมิ กล่าว

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีงานที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาและรอเริ่มก่อสร้าง ได้แก่ งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู เข้าเมืองทองธานี มูลค่า 3 พันล้านบาท ที่บริษัทชนะการประมูลมาแล้ว และรอเซ็นสัญญา งานขุดคลองของกรมชลประทาน มูลค่า 3.5 พันล้านบาท ซึ่งจะเซ็นสัญญาในเดือนมี.ค.นี้ และงานก่อสร้างมอเตอร์เวย์เส้นทางบางใหญ่-กาญจนบุรี ของกลุ่มร่วมค้า BGSR ซึ่งบริษัทเป็นพันธมิตร ในช่วงไตรมาส 2/64 และงานก่อสร้างศูนย์ราชการ โซน C มูลค่า 6 พันล้านบาท ที่จะเริ่มสร้างในเดือนมิ.ย.64

นายภาคภูมิ กล่าวว่า บริษัทวางเป้าหมายผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นและปัตรากำไรสุทธิในปี 64 ให้เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 5% จากปีก่อนที่ 4.4% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มเป็น 3-4% จากการรับงานที่ให้มาร์จิ้นที่สูงขึ้นและในปีนี้บริษัทจะมีแรงกดดันอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิที่ลดลงจากการส่งมอบงานโครงการที่มีมาร์จิ้นในระดับต่ำ เช่น งานก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ที่จะส่งมอบทั้งหมดในเดือนเม.ย.ที่จะถึงนี้ ทำให้แนวโน้มของอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิฟื้นตัวขึ้น

ส่วนการลงทุนของบริษัทในปีนี้วางงบลงทุนไว้ที่ 1.1 พันล้านบาท แบ่งเป็น การใช้ซื้อและปรับปรุงเครื่องจักรใหม่รองรับงานก่อสร้าง เงินลงทุน 1 พันล้านบาท และการปรับปรุงโรงงานเดิมของบริษัทในอ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เงินลงทุน 100 ล้านบาท เพื่อรองรับงานก่อสร้างโครงการเมืองการบินอู่ตะเภา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ