ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ CPFTH ที่ A+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 31, 2021 12:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) หรือ CPFTH ที่ระดับ "A+" พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยหลักของ บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) (ได้รับการจัดอันดับเครดิต "A+/Stable" จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการดำเนินงานของบริษัทที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับการดำเนินงานของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารและการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ที่บริษัทได้รับจากบริษัทแม่ด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

  • มีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร

บริษัทซีพีเอฟ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทย่อยหลักของบมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจสัตว์บกแบบครบวงจรในประเทศไทย ในปี 2563 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 1.5 แสนล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 25% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทแม่) และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 17% ของบริษัทแม่)

สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทสะท้อนถึงการดำเนินงานที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกันกับของบริษัทแม่ ตลอดจนการได้รับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ จากบริษัทแม่ ทั้งนี้ จากการที่บริษัทแม่ถือหุ้นเกือบทั้งหมดในบริษัท บริษัทแม่จึงมีส่วนในการกำหนดทิศทางและการดำเนินธุรกิจทั้งหมดของบริษัท ในขณะเดียวกัน บริษัทแม่ยังช่วยในเรื่องการจัดจำหน่ายสินค้าในช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องการจัดหาวัตถุดิบต่าง ๆ ให้บริษัทอีกด้วย

-ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างกลุ่มซีพีเอฟ

เพื่อที่จะดำเนินตามกลยุทธ์การเติบโตในธุรกิจอาหารและช่องทางการจัดจำหน่าย บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จึงได้ดำเนินการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจเพื่อลดการถือหุ้นไขว้กันระหว่างบริษัทในเครือและรวมกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอาหารและการจัดจำหน่ายมาอยู่ภายใต้ บริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด

นโยบายดังกล่าวส่งผลให้บริษัทซีพีเอฟ (ประเทศไทย) ต้องขายกิจการของบริษัทลูกจำนวน 3 แห่งออกไปเพื่อแลกกับเงินลงทุนในสัดส่วน 12.5% ในบริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง การปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าวเสร็จสิ้นในเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทลูกทั้ง 3 แห่งดังกล่าวประกอบด้วย บริษัท ซีพีเอฟ เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด และบริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด

การปรับโครงสร้างดังกล่าวจะส่งผลให้รายได้และกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) ลดลงจากการนำผลการดำเนินงานของบริษัทลูกทั้ง 3 แห่งดังกล่าวออกไปจากงบการเงินรวม ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะลดลงประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปีและกำไรสุทธิจะลดลงประมาณ 0.8-1 พันล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม การลดลงของรายได้และกำไรจะถูกทดแทนด้วยกำไรและเงินปันผลจากการถือหุ้น 12.5% ในบริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทได้รับจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1 พันล้านบาทต่อปี

ทริสเรทติ้ง เห็นว่ารายได้และกำไรของบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จะมีความผันผวนมากขึ้นจากการมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจฟาร์มที่สูงขึ้นในขณะที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทจะได้รับประโยชน์จากศักยภาพในการเติบโตที่สูงขึ้นของบริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่งซึ่งดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งด้านอาหาร ช่องทางการจัดจำหน่าย และค้าปลีก

-ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2563 ปรับตัวดีขึ้นจากอานิสงส์ของราคาสุกรที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณสุกรที่ขาดแคลนอันเป็นผลมาจากการระบาดที่ยาวนานของโรคอหิวาต์อาฟริกาในสุกร (African Swine Fever - ASF) ในหลายประเทศ กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.4 หมื่นล้านบาทในปี 2563 จากระดับ 3-9 พันล้านบาทในปี 2560-2562 อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 9.6% ในปี 2563 จากระดับ 2.2%-6.1% ในปี 2560-2562

-ภาระหนี้ลดลงและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ปรับตัวดีขึ้น

อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 57.5% ในปี 2563 จากระดับ 61% ในปี 2560 การเพิ่มทุนประมาณ 7-10 พันล้านบาทต่อปีในช่วงวงจรขาลงของธุรกิจสัตว์บกช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นตามอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.6 เท่าในปี 2563 จากระดับ 1-3 เท่าในปี 2560-2562 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.3 เท่าในปี 2563 จากระดับ 9-25 เท่าในระหว่างปี 2560-2562 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 10.7% ในปี 2563 จากระดับ 2%-7% ในระหว่างปี 2560-2562

ณ เดือนธันวาคม 2563 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 9.2 หมื่นล้านบาท โดยจำนวนเกือบ 80% เป็นหุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาว ส่วนที่เหลือเป็นเงินกู้ระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีเงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2564 ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาทซึ่งคาดว่าแหล่งที่มาของเงินสดเพื่อการชำระหนี้จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นหลัก นอกจากนี้ บริษัทยังมีสภาพคล่องจำนวนมากจากเงินสดในมือจำนวนประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาทและวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินอีกหลายแห่งด้วย

-เป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์สัตว์บก

บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจสัตว์บกของประเทศไทยโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 1 ใน 3 ของธุรกิจอาหารสัตว์บกภายในประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจไก่อีกประมาณ 22% ของปริมาณไก่ที่ผลิตภายในประเทศและในธุรกิจสุกรอีก 32% ของปริมาณสุกรที่ผลิตภายในประเทศด้วย ทั้งนี้ บริษัทได้รับประโยชน์เป็นอย่างมากจากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตที่ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของประเทศ

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

-รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะลดลง 12% ในปี 2564 จากการนำผลการดำเนินงานของบริษัทลูก 3 แห่งออกไปจากงบการเงินรวม และจะเติบโตที่ระดับ 2%-4% ต่อปีในช่วงปี 2565-2566

-อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ในช่วงระหว่าง 8%-10% ในปี 2564-2566

-ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566

แนวโน้มอันดับเครดิตและปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะบริษัทย่อยหลักที่รับผิดชอบดำเนินธุรกิจสัตว์บกแบบครบวงจรในประเทศไทยของกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์อาหารต่อไป โดยที่อันดับเครดิตของบริษัทขึ้นอยู่กับสถานะเครดิตของบมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร เป็นสำคัญ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับอันดับเครดิตของบมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหารก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ