นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา(CPN) คาดว่ารายได้ในปี 51 อาจจะโตน้อยกว่าปีนี้ที่คาดโต 20% เพราะปีหน้าจะมีการเปิดศูนย์การค้าใหม่เพิ่มเพียง 1 แห่ง คือ สาขาแจ้งวัฒนะ ขณะที่ในปี 50 ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ เปิดเต็มปี รวมทั้งสาขารัตนาธิเบศร์ ที่เริ่มเปิดบริการในปีนี้ แต่ในแง่กำไรสุทธิในปี 51 น่าจะดีขึ้นมาก เพราะมาจากหลายศูนย์การค้าเปิดให้บริการเต็มพื้นที่ และไม่มีการให้ส่วนลดค่าเช่ากับร้านค้า เพราะขณะนี้ร้านค้ามีการจองพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันอัตราการเช่าพื้นที่ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์เพิ่มเป็น 90% จาก 80%เมื่อช่วงต้นปี และคาดว่าสิ้น ธ.ค.50 อัตราการเช่าพื้นที่จะเพิ่มเป็น 94% "ในปี 51 ยอดขายเราอาจจะโตน้อยกว่าปีนี้ เพราะมีโครงการใหม่เปิดเพียงโครงการเดียวคือที่แจ้งวัฒนะ แต่กำไรน่าจะดีขึ้นมาก เพราะไม่ต้องมีการให้ส่วนลดค่าเช่า การโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็น้อยลง เพราะศูนย์ต่างๆที่เปิดในขณะนี้ คนเริ่มรู้จักมากขึ้นอย่างเซ็นทรัลเวิล์ด" นายกอบชัย กล่าว ส่วนในปี 52 จะมีศูนย์การค้าเปิดใหม่ อีก 3 แห่ง ได้แก่ พัทยา,ชลบุรี และ ขอนแก่น จึงคาดว่ารายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 36% แต่กำไรสุทธิคาดโตไม่ต่ำกว่า 15% เพราะอาจมีการให้ส่วนลดค่าเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าที่เปิดใหม่ ขณะที่ในปี 50 คาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโต 20% จากปีก่อน โดยในไตรมาส 3 คาดว่าจะเติบโต 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทมีแผนลดต้นทุนพลังงานในภาวะที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง โดยคาดว่าภายใน 5 ปี แต่ละศูนย์การค้าจะต้องสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลง 30%ต่อปี โดยศูนย์ใหม่ 4 แห่ง ได้มีการจัดซื้องานระบบรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานโดยบริษัทยอมลงทุนเพิ่มขึ้น แต่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว สำหรับแผนการลงทุนในต่างประเทศ นายกอบชัย กล่าวว่า ขณะนี้ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาในการเข้าลงทุนธุรกิจห้างสรรพสินค้าในเวียดนาม จีน และอินเดีย โดยคาดว่าจะเป็นการร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่น น่าจะได้ข้อสรุปว่าจะไปลงทุนประเทศใดก่อนในช่วงปลายปี 51 ขณะที่โครงการสวนลุมไนท์บาร์ซ่าที่บริษัทชนะประมูลเช่าพื้นที่นั้น คาดว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คงจะส่งมอบที่ดินให้บริษัทได้ในปลายปี 51 ส่วนที่ดินบริเวณลาดพร้าว ซึ่งดำเนินการเจรจาระหว่างบริษัท เซ็นทรัล อินเตอร์พัฒนา จำกัด กับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) การเจรจายังเป็นไปตามขั้นตอนไม่มีสะดุด หรือหยุดลง รวมทั้งมีการตั้งคณะกรรมการ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯขึ้นมาดูแล*กองทุน CPNRF ให้ผลตอบแทนปันผล 8% จากสินทรัพย์เติบโต นายนริศ เชยกลิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี CPN กล่าวว่า ผลการดำเนินงานกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNRF) ดีขึ้น เพราะสินทรัพย์ในกองทุนนี้ ได้แก่ ห้างเซ็นทรัล พระราม 2 เติบโตตามการขยายตัวของชุมชน และระบบขนส่งมวลขน ขณะที่ห้างเซ็นทรัลพระราม 3 หลังมีการสร้างสะพานลอยหน้าห้างทำให้มีผู้คนเข้ามาใช้บริการคึกคัก ทำให้กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 8% จึงมั่นใจว่าหากมีการขยายขนาดกองทุนCPNRF หลังธปท. ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนที่ดี "ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาการเพิ่มขนาดกองทุน CPNRF แต่ถ้าธปท.ยังไม่ยกเลิกมาตรการก็จะจัดตั้งกองใหม่ที่สิงคโปร์ " นายนริศ กล่าว ขณะเดียวกัน บริษัทจะจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ใหม่ที่ใช้สำนักงานเซ็นทรัลเวิลด์เป็นสินทรัพย์ในกองทุน ซึ่งจะสรุปปลายปีนี้ คาดว่าจะเสนอขายในประเทศในไตรมาส 1/51 มีขนาดกองทุนอยู่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเท่ากับกองทุน CPNRF*เชื่อกม.ค้าปลีกฯขวางศก.โต นายกอบชัย มองว่า พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งนำมาใช้จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ และจะกระทบเป็นลูกโซ่ ได้แก่ ซัพพลายเออร์ ผู้รับเหมา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งจะมีผลต่อการจ้างงานที่อาจจะมีคนตกงานมาก เพราะเห็นว่าการมีร้านค้าปลีกหรือศูนย์การค้า เป็นการพัฒนาเมือง และเศรษฐกิจโดยรวม "อยากให้รัฐคำนึงว่าประเทศไทยพัฒนาโดยตลาดเสรี การที่เศรษฐกิจจะพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องต้องดูธุรกิจอะไร ที่ทำให้เกิดความนิยมแก่ประชาชน หรือคนที่ได้ประโยชน์คือประชาชน น่าจะให้การส่งเสริมไม่เฉพาะแต่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ แต่รวมถึงพวก เอสเอ็มอี ที่เมื่อทำธุรกิจอยากขยายตัว แต่ พ.ร.บ.ค้าปลีกฯจะกลายเป็นการปิดกั้นการขยายตัว" นายกอบชัย กล่าว นอกจากนี้ การมีร้านค้าปลีกทำให้ผู้บริโภคมีความสะดวกและสบายใจที่จะหาผู้รับผิดชอบต่อผู้บริโภคในการรับคืนสินค้าได้ และมีเวลาเปิด-ปิดที่แน่นอน นายกอบชัย เชื่อว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)จะคำนึงถึงภาพรวมว่าการออกกฎหมายจะต้องเกิดประโยชน์ของประเทศ คงจะไม่ปล่อยให้มีตนตกงานมาก เชื่อว่าถ้ากฎหมายผ่านจริงสร้างความเสียหายเป็นแสนล้านบาท