PSH คาดผลงาน Q4/64 ฟื้นโดดเด่นจากโอน 7 คอนโดฯ มั่นใจรายได้ทั้งปีเข้าเป้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 16, 2021 15:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บริษัทในเครือ บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) เปิดเผยว่า สถานการ์ณแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศปัจจุบันที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3/64 คาดว่าจะชะลอตัวลงค่อนข้างมากในช่วงที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก และภาครัฐใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เข้มงวด ทำให้กิจกรรมต่างๆ ในประเทศชะลอตัวลงไป ทำให้การขายและการโอนในช่วงไตรมาส 3/64 ชะลอตัวลงตามทิศทางของตลาด

อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าแนวโน้มของผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/64 จะเห็นการฟื้นตัวที่โดดเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านยอดโอนที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีมากขึ้น เพราะในช่วงไตรมาส 4/64 บริษัทจะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่เข้ามามากถึง 7 โครงการ ซึ่งมียอดขายแล้ว 6 พันล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ราว 4-5 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่เข้ามาผลักดันการฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่นให้กับยอดโอนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้

ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเดินหน้าทยอยขายสต็อกโครงการพร้อมโอนที่เหลืออยู่มูลค่า 8 พันล้านบาท อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะพยายามขายสต็อกให้เกือบหมดให้ได้ภายในสิ้นปี 64 หลังจากที่บริษัทเดินหน้าระบายสต๊อกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ทำให้สต็อกลดลงไปค่อนข้างมากจากช่วงต้นปีที่มีสต็อกมูลค่าเกือบ 2 หมื่นล้านบาท แต่การที่บริษัทเร่งการระบายสต็อกออกไปมีผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปี 64 ปรับลดลงมาเล็กน้อยที่ 27-28% จากปกติที่มากกว่า 30% เนื่องจากการระบายสต็อกต้องมีการทำโปรโมชั่นราคาพิเศษให้กับลูกค้าเพื่อกระตุ้นการซื้อ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นลดลงมาบ้าง แต่สต็อกที่ลดลงไปมากช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ (SG&A) ปรับลดลงไปมากเหลือ 14-15% จากเดิมที่ 18-19% ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทลงในระยะยาว

ด้านยอดขายของบริษัทในช่วงช่วงครึ่งปีหลังคาดว่ายังมียอดขายเข้ามาต่อเนื่องได้ แม้ว่าปัจจุบันลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมโครงการจะลดลงไปพอสมควร เพราะความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์การขายผ่านช่องทางออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ ทำให้ยังมีลูกค้าที่เข้ามาซื้อโครงการได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้มีการปรับช่องทางการขายผ่านออนไลน์มากขึ้นไปตั้งแต่ปี 63 ทีผ่านมา ทำให้ลูกค้ามีการรับรู้เกี่ยวกับช่องทางการขายของบริษัทไปมาก ส่งผลให้การขายของบริษัทไม่ค่อยมีการหยุดชะงักมากในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยที่ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัททำยอดขายได้ที่ 1.41 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายที่ 3.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่ายังทำได้ตามเป้า

ส่วนการเปิดโครงการในช่วงครึ่งปีหลังวางแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 15 โครงการ มูลค่ารวม 1.78 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการเปิดโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมเป็นหลัก ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มสินค้าที่ยังเห็นดีมานด์ในตลาดอยู่เป็นจำนวนมาก และลูกค้าให้การตอบรับในการซื้อที่ดีมาต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นโครงการที่บริษัทขายและสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้อย่างรวดเร็ว ส่วนโครงการที่จะเปิดในช่วงครึ่งปีหลังส่วนใหญ่จะมีการเปิดในระดับราคา 1.5-3 ล้านบาทท เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมองว่าเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทที่ยังมีกำลังซื้อ และยังไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากนัก

นอกจากนี้การพัฒนาโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นที่บริษัทเคยเปิดเผยออกมา ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ ส่งผลการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นชะลอแผนการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ แต่บริษัทได้มีการปรับแผนไปเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศไทยที่เป็นเจ้าของที่ดินและมีที่ดินรอการพัฒนาอยู่แล้ว ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรับซื้อสินทรัพย์และขายสินทรัพย์ต่อ โดยที่จะเริ่มทดลองพัฒนาโครงการนำร่องนี้ในที่ดินย่านรามอินทรา พื้นที่ 30 ไร่ นำมาพัฒนาทาวน์เฮาส์ มูลค่า 500 ล้านบาท ระดับราคา 2-3 ล้านบาท และจะเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งจะเป็นโครงการที่บริษัทนำความเชี่ยวชาญของบริษัทมาต่อยอดในการสร้าโอกาสในการดำเนินธุรกิจจากการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นในรูปแบบการร่วมทุนในการช่วยพัฒนาโครงการบนที่ดินของพันธมิตร

"จากสถานการณ์โควิดที่กดดันภาคอสังหาฯและธุรกิจในปีนี้ พฤกษายังเดินตามแผนและเป้าหมายของบริษัท เรายังคงเป้ายอดขายและรายได้ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท และเปิดโครงการตามแผนที่ตั้งไว้ ยังไม่มีการเลื่อนเปิด ซึ่งเราก็เตรียมแผนการรับมือมาค่อนข้างดี ทำให้มองว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจอสังหาฯของพฤกษาจะไม่กระทบมาก และก็ยังมี Backlog อีกกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท ที่เข้ามารองรับรายได้ให้กับบริษัท"นายปิยะ กล่าว

นายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด บริษัทในเครือ PSH เปิดเผยว่า ขณะนี้โรงพยาบาลวิมุตได้เปิดศูนย์บริการต่างๆ เช่น ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด ศูนย์กระดูกและข้อ ศูนย์สมองและประสาท ศูนย์สุขภาพ ศูนย์ผิวหนังและความงาม โดยในช่วงโควิด-19 โรงพยาบาลวิมุต ได้เปิดตัวบริการ "Safe Save Surgery" ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่ใช้ระยะเวลานอนพักฟื้นระยะสั้น โดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ล่าสุด และควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม

ขณะเดียวกันตั้งแต่เดือนพ.ค. 64 เป็นต้นมา รพ.วิมุตได้ร่วมมือกับภาครัฐ เช่น กรมควบคุมโรค กระทรวงต่างประเทศ เป็นต้น จัดฉีดวัคซีนตามนโยบายรัฐบาล อย่างต่อเนื่อง เป็นจำนวนมากกว่า 50,000 เข็ม ในด้านความคืบหน้าของการเปิดจองวัคซีนโมเดอร์น่า ขณะนี้ทางโรงพยาบาลปิดรับจองและดำเนินการสั่งซื้อวัคซีนจากองค์การเภสัชกรรมเรียบร้อยแล้วครบตามจำนวนโดสสำหรับผู้ที่จองและชำระเงินตามกำหนดเวลา ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดสรรลำดับการฉีดวัคซีน จะทยอยเข้ารับวัคซีนตั้งแต่เดือนต.ค. 64 เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทจะได้รับวัคซีนโมเดอร์น่าเข้ามาตามโควตาจำนวน 140,000 โดส ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้จากการให้บริการวัคซีนโมเดอร์น่าเข้ามาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ราว 200 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามในแง่ของรายได้ของรายได้จากให้บริการรักษาคนไข้ทั่วไปที่เข้ามารักษาโรคต่างๆในโรงพยาบาลค่อนข้างได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในระดับหนึ่ง ทำให้คนไข้ที่เข้ามาใช้บริการรักษาโรคทั่วไปชะลอตัวลงใช่วงที่ผ่านมา จากความกังวลการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้คนยังมีความรู้สึกไม่อยากเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาล ทำให้รายได้จากการรักษาคนไข้ทั่วไปในปีนี้อาจจะต่ำกว่าเป้าหมายที่ 300 ล้านบาทเล็กน้อย เหลือกว่า 200 ล้านบาท แต่หากรวมรายได้จากการให้บริการวัคซีนเข้ามาราว 200 ล้านบาทรวมกับรายได้ปกติจากการรักษาคนไข้ทั่วไป จะเห็นรายได้ของโรงพยาบาลที่อยู่ในระดับที่ดี จากปัจจัยหนุนของการให้บริการวัคซีนโมเดอร์น่า

ทั้งนี้โรงพยาบาลวิมุติตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในปี 65 ไว้ที่ 15-20% โดยที่ในปี 65 ทางโรงพยาบาลมองว่าคนไข้ที่เข้ามารักษาโรคทั่วไปจะทยอยกลับเข้ามารักษาในโรงพยาบาลมากขึ้น หากโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลงมากขึ้นแล้ว และในปี 65 จะมีรายได้เข้ามาเสริมจากโครงการ ViMUT Health Center ที่โครงการ Pruksa Avenue ในย่านบางนา-วงแหวน ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง งบลงทุนรวม 150 ล้านบาท ขนาด 50 เตียง ซึ่งจะเป็นศูนย์สุขภาพ ที่ครอบคลุมบริการที่หลากหลาย เช่น คลินิก ศูนย์กายภาพ ศูนย์ดูแลและบริบาลผู้สูงอายุ รวมทั้งการให้บริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน (Home Health Care) ที่จะเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 65 ซึ่งจะเข้ามาช่วยหนุนรายได้ให้กับบริษัทในช่วงปลายปีหน้าเป็นต้นไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ