MILL มองปี 65 กำไรต่อเนื่องปี 64 หลังพลิกจากขาดทุน รับศก.ฟื้น-ราคาเหล็กดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 1, 2022 10:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.มิลล์คอน สตีล (MILL) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 65 บริษัทฯ คาดว่าจะมีกำไรสุทธิต่อเนื่องจากปี 64 เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับบริษัทมีความพร้อมในการแข่งขัน และแนวโน้มราคาเหล็กในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจีนที่มีการจำกัดการส่งออกและลดกำลังการผลิต และยกเลิกนโยบายคืนภาษีส่งออก (Tax rebate) ส่งผลให้ราคาเหล็กในตลาดโลกยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงเพิ่มขึ้น

ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยปี 64 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 379 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 168 ล้านบาท และมี EBITDA อยู่ที่ 1,131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มี EBITDA ราว 940 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวม 15,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,171 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 11,641 ล้านบาท

ทั้งนี้ กำไรสุทธิข้างต้น ยังไม่ได้รวมผลการดำเนินงานของ บริษัท โคเบลโก้ มิลล์คอน สตีล จำกัด (KMS) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในสัดส่วน 50% กับบริษัท โกเบ สตีล ลิมิเต็ด ดำเนินการผลิตและจำหน่ายเหล็กลวดเกรดทั่วไปและเหล็กลวดเกรดพิเศษ ซึ่งปัจจุบันสามารถดำเนินการผลิตและจำหน่ายเหล็กลวดเกรดพิเศษสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสามารถกลับมาดำเนินการมีผลกำไรได้แล้ว โดยในปี 64 KMS มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 369 ล้านบาท หากรวมกับกำไรสุทธิของบริษัทในปี 64 จะส่งผลให้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 564 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นถึง 36% เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยปรับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาเหล็กในตลาดโลก ซึ่งรวมถึงราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่ม ทำให้ต้นทุนการขายและบริการอยู่ที่ 14,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 891 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 74 ล้านบาท หรือลดลง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของค่าขนส่งและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของบริษัท และต้นทุนทางการเงินลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัท

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กในปี 64 จากการที่อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจีนมีการจำกัดการส่งออก และลดกำลังการผลิต ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเหล็กและราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มผ่อนคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นอันเนื่องมาจากประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีน ทำให้ภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆฟื้นตัวดีขึ้น

จากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย การบริโภคเหล็กสำเร็จรูปของไทยในปี 64 อยู่ที่ 18.74 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13.9% จากปีก่อน โดยการบริโภคเหล็กทรงยาวอยู่ที่ 6.47 ล้านตัน แบ่งเป็น การบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ (Bar & HR section) อยู่ที่ 3.76 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.3% และผลิตภัณฑ์เหล็กลวด (Wire rod) อยู่ที่ 2.34 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4.7% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การบริโภคเหล็กทรงแบนอยู่ที่ 12.27 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 20.7 % เมื่อเทียบกับปี 63


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ