WHA โชว์กำไร Q1/65 โตตามทุกธุรกิจ,คาดปิดดีลอีคอมเมิร์ซรายใหญ่เช่าพื้นที่ Q2/65

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 13, 2022 18:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/65 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิ ทั้งสิ้น 2,182.2 ล้านบาท และ 656.1 ล้านบาท ตามลำดับ โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 2,164.6 ล้านบาท และกำไรปกติ 653.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.8% และ 255.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2564 สะท้อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากแพลตฟอร์ม 4 กลุ่มธุรกิจ

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม WHA กล่าวว่า การดำเนินงานของ 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่

ธุรกิจโลจิสติกส์ ในไตรมาสแรกรับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 228.5 ล้านบาท โดยมีการเปิดโครงการและลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น จำนวน 23,843 ตารางเมตร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ทำสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมจำนวน 88,608 ตารางเมตร ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสแรก บริษัทฯ มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหาร ทั้งหมด 2,573,282 ตารางเมตร

ทั้งนี้ โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม.21 ศูนย์โลจิสติกส์แบบมิกซ์ยูส ซึ่งให้บริการคลังสินค้าและโรงงานแบบ Built-to-Suit พื้นที่ขนาดตั้งแต่ 5,000 ถึง 100,000 ตารางเมตร มีลูกค้ารายแรก อย่าง บริษัท เคอรี่ โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ลงนามในสัญญาเช่าคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ขนาดพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร โดยปัจจุบันเคอรี่ฯ มีพื้นที่คลังสินค้าที่เช่ากับบริษัทรวมกว่า 18,000 ตารางเมตร

นอกจากนี้ ภายในไตรมาส 2/65 บริษัทคาดว่าจะสามารถปิดดีลลูกค้ากลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่จะลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit อีกราว 35,000 ตารางเมตร ส่งผลให้บริษัทจะมีสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น ไม่ต่ำกว่า 50,000-60,000 ตารางเมตรในช่วงครึ่งปีแรก

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ มาใช้ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดียิ่งขี้น พร้อมลดต้นทุนการดำเนินงานสู่ประสิทธิผลที่สูงขึ้น โดยบริษัทการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลจากการปรับใช้บิ๊กดาต้า คลาวด์คอมพิวติ้ง AI IoT ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และบล็อกเชน เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะสามารถเติบโตได้ในระยะยาว และในอนาคต

คลังสินค้าและโรงงานต่างๆ ก็จะมีการติดตั้งนวัตกรรมอันล้ำสมัย อาทิ วิทยาการหุ่นยนต์ ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าแบบอัตโนมัติ (AS/RS) รถลำเลียงสินค้า อัตโนมัติ (AGV) และระบบการจัดการคลังสินค้าอัจฉริยะ (Smart Warehouse) ตลอดจนบริษัทฯ ยังมีแผนการต่อยอดความร่วมมือกับบริษัทสตาร์ทอัพที่ได้เข้าลงทุนตั้งแต่ปีที่แล้ว อาทิ Giztix และ Storage Asia เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ รวมถึงพัฒนาความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางธุรกิจและบริษัทสตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

ส่วนโครงการอาคารสำนักงาน WHA Tower มีกลุ่มลูกค้าทยอยเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น อาทิ GIZTIX เช่าพื้นที่ ขนาดพื้นที่เช่า 1,110 ตร.ม. โดยมีอายุสัญญาเช่า 5 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 และ Veger เช่าพื้นที่ขนาด 1,096 ตรม. มีอายุสัญญา 6 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ 10 มีนาคม 2565

สำหรับแผนการเตรียมขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART และ HREIT บริษัทฯตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้ 200,000 ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 5,300 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมผู้ถือหน่วยของกอง WHART และ HREIT เพื่อขออนุมัติในช่วงไตรมาส 2/65 ต่อไป

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บริษัท รับรู้รายได้ในไตรมาส 1/2565 รวม 694.0 ล้านบาท ปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 เนื่องจากมีการโอนที่ดินเพิ่มสอดคล้องกับภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนของประเทศไทยที่จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากนโยบายเปิดประเทศ มาตรการปลดล็อกการเดินทาง Test & Go ส่งผลให้ลูกค้าชาวต่างชาติสะดวกในการเดินทางเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น

โดยไตรมาสแรก บริษัทฯมียอดขายที่ดินรวม 36 ไร่ ซึ่งเป็นในประเทศไทยทั้งหมด ส่วนในเวียดนามได้มีการเซ็นต์ MOU ไปแล้ว 124 ไร่ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/65 บริษัทมียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ให้กับลูกค้ากว่า 400 ไร่ และคาดว่าจะสามารถปิดดีลการขายที่ดินกับลูกค้ารายใหญ่ได้อีกอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 2

นอกจากนี้ บริษัทยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนจีน ที่สนใจเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนเมษายน 2565 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินอุตสาหกรรมขนาด 200 ไร่กับลูกค้ารายใหญ่ และยังมีการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่อีกหลายรายที่มีความต้องการที่ดินกว่า 2,000-3,000 ไร่

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีนิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่ในประเทศไทย ทั้งสิ้น 11 แห่ง โดยล่าสุดบริษัทฯ เปิดตัว "นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36" ขนาดพื้นที่จำนวน 1,281 ไร่ บนทำเลที่ตั้งในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ได้รับการพัฒนาเพื่อต้อนรับนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และอุตสาหกรรมการบิน อิเล็กทรอนิกส์ และโลจิสติกส์ ฯลฯ

สำหรับเขตอุตสาหกรรมที่ประเทศเวียดนามในไตรมาส 1/65 มียอดเซ็น MOU รวม 124 ไร่ สอดคล้องกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการผลิตและการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงยอด FDI ของประเทศเวียดนามที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี และมีจำนวน Enquiry ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทเร่งพัฒนาเฟส 2 คิดเป็นพื้นที่กว่า 2,200 ไร่ โดยเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 1 เมื่อแล้วเสร็จจะมีพื้นที่รวมทั้งเฟส 1 เฟส 2 และส่วนต่อขยายของเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน รวมกว่า 11,550 ไร่

ล่าสุด เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 ? เหงะอาน และหัวลี่ กรุ๊ป - ไต้หวัน ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงสัญญาการแบ่งเช่าที่ดิน ณ สำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการประชาชนประจำจังหวัด เหงะอาน สำหรับโครงการผลิตและแปรรูปรองเท้า เพื่อการส่งออกของหัวลี่ กรุ๊ป ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 ? เหงะอาน โดยโครงการก่อสร้างดังกล่าวคาดว่าจะเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 2565 และจะเปิดดำเนินการได้ในเดือนมิถุนายน 2566

นอกจากนี้ บริษัทพัฒนาเขตอุตสาหกรรมใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ โครงการ "WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa" ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลักของจังหวัด มุ่งตอบโจทย์ความต้องการจากนักลงทุนด้านเทคโนโลยีมูลค่าสูง ในขณะที่โครงการ "WHA Northern Industrial Zone - Thanh Hoa" ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ใกล้กับศูนย์ปิโตรเคมี Nghi Son มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายอุตสาหกรรมขั้นกลางและปลายน้ำ โดยคาดว่าการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ

ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภค ผลประกอบการของธุรกิจน้ำในไตรมาส 1/65 เติบโตอย่างโดดเด่น ทำให้บริษัทรับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภค 622 ล้านบาท ปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมดในไทยและต่างประเทศรวม 36 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 11% แบ่งเป็นในประเทศ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 9% สะท้อนการเติบโตของปริมาณการใช้น้ำอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าเดิม โดยเฉพาะลูกค้าหลัก ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ ปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Products) เติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 11% ตามความต้องการใช้น้ำเพิ่มเติมจากลูกค้ากลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ Gulf SRC และ GPSC

ขณะที่ธุรกิจน้ำในประเทศเวียดนาม โครงการ ดวง ริเวอร์ เซอร์เฟส วอเตอร์แพลนท์ (Duong River Surface Water Plant: SDWTP) มียอดจำหน่ายน้ำรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 6 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโต 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลมาจากความต้องการใช้น้ำที่ทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่

"บริษัทพร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม ควบคู่ไปกับการพัฒนา Smart Utilities Service Platform และ Innovative Solution เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง อาทิ การให้บริการน้ำรีไซเคิล และน้ำปราศจากแร่ธาตุแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (มาบตาพุด) โดยล่าสุดได้มีการลงนาม ในสัญญาซื้อขายน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) กับลูกค้ารายแรก ด้วยกำลังการผลิตกว่า 0.8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายในไตรมาส 4/65"

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมลงนามในสัญญากับ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เพื่อบริหารจัดการน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วจากระบบบำบัดน้ำเสียมาผลิตเป็นน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) เป็นโครงการที่ 2 เพื่อให้บริการแก่ GULF ในการนำน้ำไปใช้ในกระบวนการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าตาสิทธิ์ 3 และ 4 ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้อายุสัญญาซื้อขายน้ำระยะเวลา 15 ปี เริ่มส่งมอบการให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 ปริมาณการผลิตน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) 1.4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยมีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/65

เช่นเดียวกับสำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคในประเทศเวียดนาม คาดว่ายอดขายและบริหารจัดการน้ำเสียจะเติบโตเพิ่มขึ้น ด้วยแผนการขยายธุรกิจสาธารณูปโภคควบคู่ไปกับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ อาทิ เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟสที่ 2 และเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ทัญฮว้า จำนวน 2 แห่ง ที่จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ

ในส่วนของ ธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานจากการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไตรมาส 1/65 เท่ากับ 92.8 ล้านบาท ลดลงเนื่องจากส่วนแบ่งกำไรปกติจากโรงไฟฟ้า GHECO-One ที่ลดลง เนื่องจากสาเหตุสำคัญจากประกาศระงับการส่งออกถ่านหินของประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลทำให้ราคาถ่านหินปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงโรงไฟฟ้ามีการหยุดซ่อมบำรุงจำนวน 18 วัน และส่วนแบ่งกำไรปกติจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ปรับตัวลดลง สาเหตุหลักจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การประกาศปรับอัตราค่าไฟฟ้าของภาครัฐยังไม่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส1 ที่ผ่านมา โดยจะมีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าตามรอบการปรับปกติในเดือนพฤษภาคมและเดือนกันยายนนี้

ขณะเดียวกัน ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งในไตรมาสแรก บริษัทฯ เซ็นสัญญาโครงการโซลาร์รูฟท็อป เพิ่มจำนวน 5 สัญญา กำลังการผลิตรวมประมาณ 13 เมกะวัตต์ รวมเป็นจำนวนเซ็นต์สัญญาสะสม 105 เมกะวัตต์ โดย 1 ใน 5 โครงการดังกล่าว ได้แก่ โครงการเมกาบางนา จำนวน 9.88 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะพร้อมจ่ายไฟในช่วงปลายปี 2565

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้าเพิ่มเติมอีก 3 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/65 บริษัทฯ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ โดยรวมทั้งหมดจากโรงไฟฟ้าทุกประเภท (Contracted Capacity) ตามสัดส่วนการถือหุ้นแตะ 655 เมกะวัตต์

ล่าสุด โครงการ Solar Farm ของบริษัท ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย)" ผู้ให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับ เทียร์ 4 ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดในภูมิภาคอาเซียนบนพื้นที่รวม 10,000 ตารางเมตร ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้วในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยโครงการดังกล่าวสามารถลดต้นทุนด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าให้กับซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) และลูกค้าตลอดอายุการใช้งาน พร้อมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 18,250 ตัน

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการลดคาร์บอน ภายในองค์กรผ่านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าทดแทน โดยจะเห็นได้ว่าบริษัทฯ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่ชั้นบรรยากาศจากโครงการพลังงานพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าวเพิ่มขึ้น เป็น 26,378 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2564 หากเทียบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมทั้งหมดของกลุ่มบริษัทฯ

ในช่วงเวลาเดียวกัน จำนวน 19,250 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จึงถือได้ว่ากลุ่มบริษัทฯ สามารถบรรลุการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ได้แล้วภายในปี 2564 อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาจากภาวะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศเพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ อยู่ระหว่างการทำแผนระยะยาวเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งจะประกาศแผนงานโดยละเอียดและระยะเวลาที่ชัดเจนต่อไป

นอกจากนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ด้านการเป็นผู้นำด้านธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงาน ควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรจาก บมจ. ปตท. (PTT) และบริษัท เซอร์ทิส จำกัด "Sertis" พัฒนาระบบ Peer-to-Peer Energy Trading Platform ภายใต้ชื่อว่า "RENEX" นี้ขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าและผู้รับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนโดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในการทำธุรกรรม และอำนวยความสะดวกการซื้อขายพลังงาน ระหว่างผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม โดยได้รับความร่วมมือจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โครงการนี้มีผู้ประกอบการชั้นนำในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ เข้าร่วมเป็นผู้ซื้อขายพลังงาน จำนวนมากถึง 23 บริษัท

ทั้งนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้ายในการให้บริการซื้อขายเชิงพาณิชย์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มขึ้นภายในไตรมาส 2/2565

ด้าน ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม สำหรับไตรมาส 1/2565 ถือเป็นธุรกิจที่สร้างผลงานได้เป็นอย่างดี โดยบริษัทฯ ได้จำหน่ายสินทรัพย์ประเภทดาต้า เซ็นเตอร์ (ธุรกิจศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ) 2 แห่ง และมีกำไรจากการจำหน่ายดาต้า เซ็นเตอร์ ทั้งสิ้นจำนวน 344.6 ล้านบาท โดยบริษัทฯยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอนวัตกรรมทางด้านดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร โดยบริษัทฯ วางแผนจะใช้เงินลงทุนในธุรกิจดิจิทัล ประมาณ 4,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 4-5 ปี เพื่อปรับการดำเนินธุรกิจให้เป็นรูปแบบ Tech Company ด้วยการต่อยอดในธุรกิจเดิมที่บริษัทมีอยู่ทั้งในด้านของธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภค เช่น ธุรกิจดิจิทัลเฮลธ์แคร์, EV Value Chain และระบบ Energy Trading เป็นต้น

ล่าสุดบริษัท ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเฮลธ์แคร์ กับบมจ.สมิติเวช เพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการและโซลูชันการดูแลสุขภาพสำหรับพนักงานและลูกค้าทั้งหมดในนิคมอุตสาหกรรม โลจิสติกส์เซ็นเตอร์ และอาคารสำนักงานของดับบลิวเอชเอ ผ่านแพลตฟอร์ม WHAbit ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันสำรวจ ศึกษาขั้นตอนและกระบวนการทำงานที่จำเป็นตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น เพื่อส่งมอบโซลูชันการบริการดูแลสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่เชื่อมต่อกับช่องทางออฟไลน์ รวมถึงการปรึกษาแพทย์ทางไกล (Telemedicine) การตรวจสุขภาพ (Health Check-up) คลินิกกลุ่มโรค NCD (กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) สมาร์ทคลินิก การจ่ายยา การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังเดินหน้าสนับสนุนกลุ่มลูกค้าและนักลงทุนที่ต้องการนำเทคโนโลยี 5G เข้ามาพัฒนาธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ด้วยแผนการลงทุนร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำ สำหรับการวางแผนติดตั้งเครือข่ายและกระจายสัญญาณเครือข่ายทั้ง 3G, 4G และ 5G ควบคู่ไปกับการติดตั้งโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) ภายในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัทฯ ให้ครบทั้ง 11 แห่งภายในปีนี้ เพื่อรองรับการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี 5G ในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ