BLS คาดปี 51 รายได้โตตามภาพรวม เป้ามาร์เก็ตแชร์ 4.3%-มี 8 ดีล IB ในมือ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 19, 2008 11:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บล.บัวหลวง(BLS) คาดปี 51 รายได้เติบโตในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจากการที่มีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศช่วยผลักดันการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการร่วมมือใกล้ชิดกับมอร์แกนสแตนเลย์ผลักดันเพิ่มลูกค้าสถาบัน เผยมีดีลงานวาณิชธนกิจในมือรอระดมทุน 8 ดีล และเตรียมรุกธุรกิจ SBL ในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปีนี้  พร้อมหาธุรกิจใหม่ ๆ แทนการพึ่งพาธุรกิจหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว  เพื่อลดความเสี่ยง
นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ BLS กล่าวว่า บริษัทคงเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ธุรกิจหลักทรัพย์ในปีนี้เป็น 4.3% จาก 3.68% ในปี 50 โดยจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดร่วมกับมอร์แกน สแตนเลย์ ที่จะเน้นลูกค้าสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าสถาบันมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 38.1% ในช่วงสิ้นปี 50 จาก 32.2% ณ สิ้นปี 49
ด้านวาณิชธนกิจ ขณะนี้มีดีลบริษัทที่จะเข้าระดมทุนผ่าน IPO และ PO รวม 8 ดีล มูลค่าระดมทุนราว 1 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะมีประมาณ 4 ดีลที่จะสามารถรับรู้รายได้ภายในปีนี้ และยังมีงานด้านที่ปรึกษาการควบรวมกิจการอีกส่วนหนึ่ง
นายญาณศักดิ์ กล่าวว่า ในปีนี้ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน โดยคาดว่าจะมีวอลุ่มเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 หมื่นล้านบาท จาก 17,097 ล้านบาทในปี 50 ส่วนดัชนี SET คาดว่าจะปรับตัวขึ้นไปที่ 989 จุดในช่วงสิ้นปี 51 โดยน่าจะได้รับผลดีจากการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเดินไปได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยภายนอกในระยะต่อไป
สำหรับธุรกิจด้านตลาดอนุพันธ์ บริษัทตั้งเป้ารักษามาร์เก็ตแชร์ไว้ที่ 7% ในปีนี้จากจำนวนสัญญาซื้อขายที่มีมากขึ้น และมีความหลากหลายของสินค้ามากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนให้บริการกู้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) ที่คาดว่าจะเริ่มได้ในช่วงไตรมาส 2/51-ไตรมาส 3/51
นายญาณศักดิ์ คาดว่า การเติบโตของรายได้ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 972 ล้านบาท กำไรสุทธิ 221 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทจะหาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาธุรกิจนายหน้าซื้อขายหุ้นเพียงอย่างเดียว โดยจะเข้าไปในธุรกิจจัดการลงทุน ตั้งเป้าเพิ่มขนาดกองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็น 1.5 หมื่นล้านบาทในปีนี้ จาก 1.2 หมื่นล้านบาทในปีก่อน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ