ทิสโก้ มองหุ้นโลกรับแรงกดดันความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย แนะสะสมเฮลธ์แคร์-เทคฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 28, 2022 11:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า มุมมองการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าปัจจัยเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอลงและเส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Yield Curve) ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวกลับมาในระดับที่ใกล้ตัดกัน (Inverted) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย และจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่เหลือของปี

ทั้งนี้ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยตรง ซึ่งจากสถิติพบว่า ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำไรรวมของดัชนี S&P 500 ลดลงเฉลี่ยถึง 25% จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มที่ผลประกอบการผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มพลังงาน และกลุ่มการเงิน

อย่างไรก็ตาม ทิสโก้ ประเมินว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกได้ซึมซับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดไปมากแล้ว เห็นได้จากดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ภาวะตลาดหมีหลังดัชนีลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดเมื่อต้นปี ในขณะที่ดัชนี NASDAQ ซึ่งมีสัดส่วนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสูง ก็ได้ปรับตัวลดลงถึง 30% แล้ว

รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) สหรัฐฯ ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และจะเริ่มกลับมาลดลงในช่วงที่เหลือของปี เพราะคาดว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะเริ่มชะลอตัวลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เริ่มปรับตัวลดลง และตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอลง ซึ่งทำให้ตลาดเริ่มปรับลดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลง โดยคาดว่าเฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 3.5% ในช่วงปลายปีนี้ จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นไปถึง 4% ในช่วงกลางปีหน้า

ดังนั้น แนะนำให้นักลงทุนใช้โอกาสที่ตลาดปรับฐานทยอยสะสมหุ้นกลุ่มที่กำไรมีศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาวและไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจระยะสั้นมากนัก เช่น หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) ที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว โดยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเฮลธ์แคร์มีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 10.2% ต่อปี และสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีโอกาสเติบโตอีกมากตามเมกะเทรนด์สังคมสูงอายุที่เกิดขึ้นทั่วโลก

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นเติบโตสูง กลุ่ม Tech ที่แม้ก่อนหน้านี้จะโดนเทขายอย่างหนัก เพราะได้รับผลกระทบจาก Bond Yield ขาขึ้นกดดันกระแสเงินสดในอนาคตมีมูลค่าลดลง แต่ในอนาคตแรงกดดันดังกล่าวน่าจะลดลงและทำให้หุ้นเริ่มฟื้นตัวได้จากแนวโน้ม Bond Yield ที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่โดยเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กำไรของหุ้นกลุ่ม Tech เติบโตสูงถึง 10% ต่อปี สูงกว่าดัชนี S&P 500 ที่กำไรเติบโตโดยเฉลี่ย 7% ต่อปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ