ปัจจัยดังกล่าวทำให้กลุ่มลูกค้าของบริษัท รวมถึงลูกค้าในตลาดธุรกิจกองทุนรวมชะลอการลงทุนไปในช่วงที่ผ่านมา เพี่อรอความชัดเจนของสถานการณ์ และยังไม่พร้อมกับการเปิดรับความเสี่ยงที่มีอยู่ ทำให้การเติบโตของ AUM ในปี 65 ที่ผ่านมาจะไม่ได้หวือหวาเหมือนกับในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้า โดยในปี 65 บริษัทตั้งเป้า AUM เพิ่มขึ้นมาที่ 4 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่ 3.42 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อย จากภาวะตลาดการลงทุนที่ค่อนข้างซบเซาลงในปีนี้
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเดินหน้าในการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องนอกเหนือจากการให้บริการด้านกองทุนรวมแล้ว ยังคงมีการขยายไปยังกลุ่มผู้ประกอบการและพนักงานประจำ ในการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึงการให้บริหารยูนิตลิงค์ให้กับพันธมิตรประกันชีวิต ซึ่งปัจจุบันมีการบริหารให้กับยูนิตลิงค์ของประกันชีวิตที่เป็นพันธมิตร ได้แก่ พรูเด็นเชียล FWD เมืองไทยประกันชีวิต และไทยประกันชีวิต โดยที่ตั้งเป้าในการผลักดันส่วนแบ่งตลาดของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น Top 5 ในอุตสาหกรรม ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ Top 7 ของอุตสาหกรรม
ด้านการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์กองทุนที่นำเสนอให่กับลูกค้าของบลจ.อีสท์ปริง ที่ยังมีการทับซ้อนผลิตภัณฑ์กองทุนรวมระหว่างบลจ.ทหารไทย และบลจ.ธนชาต ที่มีกองทุนที่ซ้ำกันอยู่ 40-50 กองทุน จะมีการพิจารณานำมาปรับลดและรวมกันภายในต้นปี 66 จะมีกองทุนรวมที่เสนอขายรวม 100-120 กองทุน จากปัจจุบันที 180 กองทุน
นอกจากนี้ในด้านโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มอีสท์สปริง ซึ่งปัจจุบันได้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 60% และธนคารทหารไทยธนชาต (TTB) ถือหุ้นอยู่ 40% นั้นในอนาคตทางกลุ่มอีสท์สปริงมีโอกาสในการทยอยถือหุ้นเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องจนครบ 100% ซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาในช่วง 4-5 ปีจากปี 65 และพิจารนาเกี่ยวกับความเหมาะสมในการที่ TTB จะขายหุ้นให่กับทางอีท์สปริงเพิ่มเติมให้อนาคต