(เพิ่มเติม) PDI หวังกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ช่วยเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจเหมืองในตปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 8, 2008 17:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

         บมจ.ผาแดงอินดัสทรี (PDI)คาดว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ที่เข้ามาแทนกลุ่มยูมิคอร์ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายการลงทุนเหมืองโลหะในต่างประเทศตามที่บริษัทได้วางนโยบายไว้ว่าจะมีบทบาทในระดับอาเซียน ซึ่งในเบื้องต้นจะขยายไปยังลาวและพม่า ก้าวต่อไปจะไปยังเวีบดนาม โดยผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ 2 ใน 3 รายมีความชำนาญในธุรกิจเหมืองและมีการลงทุนเหมืองในหลายประเทศ 
"การเปลี่ยนผู้ถือหุ้นจะทำให้การดำเนินการ่ไม่แตกต่างไปมาก เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหม่อยู่ในภูมิภาคนี้ เราก็ยังมีแผนจะขยายธุรกิจออกไปในอาเซียน โดยระยะแรกจะขยายทำเหมืองในประเทศและต่างประเทศไปทางพม่าและลาว ในระยะต่อไปก็จะไปสำรวจที่เวียดนาม เชื่อว่าผาแดงจะมีบทบาทในภูมิภาคนี้มากขึ้น"นายอังเดร์ วัน แดร์ เอเดน กรรมการผู้จัดการคนใหม่ของ PDI กล่าว
สำหรับกลุ่มที่เข้ามาซื้อส่วนหนึ่งจากกลุ่มยูมิคอร์ ได้แก่ Bali Ventures Limited เป็นกองทุนจากดูไบ ถือหุ้น 21.72% ที่ราคาหุ้นละ 31.50 บาท ส่วนบริษัท Rak Minerals&Metals Investments FZ-LLC ถือหุ้น 7.24% ที่ราคาหุ้นละ 31.50 บาท และ บริษัท Far East Minerals Limited ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ Rak ถือหุ้น 5.221% ในราคา หุ้นละ 31.00 บาท
ขณะที่หุ้นที่เหลือถือโดยนักลงทุนต่างประเทศรายบุคคล โดยแต่ละรายถือหุ้นไม่เกิน 5%
นายอังเดร์ กล่าวว่า กลุ่ม RAK มีการลงทุนในธุรกิจเหมืองทั้งในอินเดีย อินโดนีเซีย อัลบาเนีย และ คองโก น่าจะมีส่วนช่วยได้บ้าง ซึ่งกลุมผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่เข้ามาลงทุนในบริษัทเพราะเห็นว่าบริษัทไม่มีภาระหนี้ระยะยาว และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ แต่ยังไม่รู้ว่าจะถือหุ้นระยะยาวหรือไม่ รวมทั้ง Rak ก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหรือไม่
ขณะที่กลุ่มยูมิคอร์และนีสสตาร์ที่ถือหุ้นมาก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเหมือง ก็ไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือในธุรกิจมากมายนัก ส่วนใหญ่เราต้องพึ่งพาตัวเอง โดยสาเหตุที่ขายหุ้นออกไปเพราะยูมิคอร์ต้องการออกจากธุรกิจสังกะสีและต้องการโอนหุ้นให้กับทางนีสสตาร์ทั้งหมด แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะติดข้อจำกัดทางกฎหมายของไทย ที่จะต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ ส่วนจะให้นีสสตาร์คงสัดส่วนไว้ฝ่ายเดียวที่ 24.9% ก็จะไม่ได้อำนาจการบริหารเต็มที่อย่างที่ต้องการ
ดังนั้น จึงมอบหมายให้ทางเอเชียพลัสเป็นผู้เสนอขายหุ้นให้กับกลุ่มใหม่ ส่วนนีสสตาร์ยังทำธุรกิจสังกะสีในต่างประเทศต่อไป
*คาดหวังได้ประทานบัตรใหม่ เม.ย.นี้ช่วยดันมาร์จิ้น
นายอังเดร์ กล่าวว่า แนวโน้มราคาสังกะสีโลกในระยะ 1-2 ปีนี้มีแนวโน้มขาลง คาดว่าราคาเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 2.0-2.5 พันเหรียญ/ตัน จากราคาเฉลี่ยในปีก่อนที่ 3.2 พันเหรียญ/ตัน โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2.3 พันเหรียญ/ตัน ดังนั้นในปีนี้จะมีนโยบายขายล่วงหน้าไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ขายล่วงหน้า 20% ของคาดการณ์ปริมาณขายทั้งปี
อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับความแน่นอนของการต่อประทานบัตรเหมืองแร่สังกะสีด้วย ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทจะหารือกำหนดสัดส่วนการทำสัญญาขายล่วงหน้าในการประชุมครั้งหน้าในเดือนพ.ค.นี้
สำหรับความคืบหน้าการต่ออายุประทานบัตรเหมืองแม่สอดอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายแล้วที่รอ รมว.อุตสาหกรรมอนุมัติที่คาดว่าจะรู้ผลภายในเดือนเม.ย.นี้ แต่หากยังไม่ได้ภายในเดือนนี้ ผู้บริหารบริษัทก็จะขอเข้าพบรมว.อุตสาหกรรมเพื่อสอบถามเหตุผล
ทั้งนี้ ตามแผนงานของบริษัทกำหนดว่าจะได้รับการต่ออายุอีก15 ปี คาดว่าจะมีแร่สังกะสีเข้าโรงถลุงได้ปีละ 4.2 ล้านตัน ซึ่งจะทำให้บริษัทมีวัตถุดิบใช้ในประเทศ 50% ช่วยลดการนำเข้า ทำให้มาร์จิ้นบริษัทดีขึ้น คาดหวังว่ากำไรก็จะดีขึ้นด้วย เพราะปีที่แล้วอายุประทานบัตรหมดตั้งแต่ ต.ค. 50 ทำให้บริษัทต้องนำเข้าวัตถุดิบ ซึ่งขณะนี้ยังมีสต็อกจนถึงไตรมาส 2/51
"การได้ประทานบัตรใหม่ ทำให้บริษัทมีแร่ในประเทศเป็นวัตถุดิบ 50% ช่วยทำให้ต้นทุนถูกลงทำให้มาร์จิ้นดีขึ้น และช่วยชดเชยราคาในตลาดที่ปรับตัวลดลง แต่ส่วนใหญ่เราขายในประเทศ ซึ่งขณะนี้ความต้องการในประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว" นายอังเดร์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าในปีนี้จะผลิตเต็มกำลังการผลิตที่ 1.1 แสนตัน จากปีก่อนที่ผลิตประมาณ 90%ของกำลังการผลิต และนี้คาดว่าจะปรับสัดส่วนการขายในประเทศและต่างประเทศ จากปีก่อนที่ขายในประเทศ 85% และต่างประเทศ 25%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ