ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ BANPU ที่ A+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 27, 2022 11:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. บ้านปู (BANPU) ที่ระดับ "A+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในอุตสาหกรรมถ่านหินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตลอดจนการมีกระแสเงินสดที่ค่อนข้างแน่นอนจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า รวมถึงความก้าวหน้าของการเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานที่สะอาดยิ่งขึ้นภายใต้กลยุทธ์ "Greener, Smarter" ("การดำเนินธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างชาญฉลาด") ของบริษัท

ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความผันผวนของราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ตลอดจนแนวโน้มราคาถ่านหินที่จะลดลงในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากการที่ประเทศจีนจะชะลอการนำเข้าถ่านหินและความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

  • เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมผลิตถ่านหินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตถ่านหินชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยบริษัทมีเหมืองถ่านหินที่ดำเนินการอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และจีน ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีปริมาณสำรองถ่านหินที่เหมืองในประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลียรวมทั้งสิ้นจำนวน 535 ล้านตัน โดยปริมาณสำรองถ่านหินที่เหมืองอินโดนีเซียมีปริมาณการผลิตนานประมาณ 17 ปีและที่เหมืองออสเตรเลียนานเกินกว่า 25 ปี ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมียอดขายถ่านหินจากเหมืองอินโดนีเซียและออสเตรเลียรวมทั้งจากกิจการค้าถ่านหินอื่น ๆ ที่ประมาณ 30 ล้านตันในปี 2565

บริษัทมีฐานลูกค้าที่หลากหลาย โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 สัดส่วนยอดขายของบริษัทจากธุรกิจถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียประมาณ 34% มาจากลูกค้าในประเทศจีน อีก 20% มาจากลูกค้าในประเทศอินโดนีเซีย และ 13% มาจากลูกค้าในประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าหลักของเหมืองในประเทศออสเตรเลียของบริษัทเป็นกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าภายในประเทศออสเตรเลียเอง ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าในประเทศฟิลิปปินส์ อินเดีย ไทย และประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  • ผลการดำเนินงานแข็งแกร่งจากราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับสูง

ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 มีทิศทางที่ดีมากเป็นประวัติการณ์ โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้น 168% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 2.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย EBITDA ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนี้เป็นผลมาจากราคาถ่านหินและราคาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้นจากผลของความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครนซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยดัชนีราคาถ่านหิน Newcastle Coal Price Index (6000 kcal) เพิ่มขึ้น 193% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 357 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565

ส่วนราคาขายเฉลี่ยของบริษัทก็เพิ่มขึ้น 102% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 162 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ทั้งนี้ กำไรขั้นต้นในธุรกิจถ่านหินของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 57% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จากระดับ 39% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ดี ปริมาณการผลิตถ่านหินรวมของบริษัทนั้นยังคงลดลงในช่วงปี 2564-2565 โดยมีสาเหตุหลักมาจากสภาพอากาศที่มีฝนตกชุกซึ่งกระทบการผลิตถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียรวมถึงการขาดแคลนแรงงานในเหมืองที่ประเทศออสเตรเลีย โดยบริษัทมีปริมาณการผลิตถ่านหินในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยเหลือ 22.9 ล้านตัน ทั้งนี้

ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายถ่านหินของบริษัทจะฟื้นตัวในปี 2567 จากผลผลิตถ่านหินจากเหมืองแห่งใหม่ในประเทศอินโดนีเซียที่บริษัทได้ซื้อไว้ในระหว่างปี 2560-2561 และจากแผนการปรับปรุงการดำเนินงานที่เหมืองของบริษัทในประเทศออสเตรเลีย

ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าราคาถ่านหิน Newcastle จะลดลงมาอยู่ที่ 150 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2566 ก่อนที่จะกลับเข้าสู่ระดับปรกติที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2567 ทั้งนี้ ประมาณการราคาถ่านหินของทริสเรทติ้งซึ่งแตกต่างจากมุมมองของบริษัทนั้นเป็นการสะท้อนการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปี 2566 จะชะลอตัวและประเทศจีนจะมีนโยบายเพิ่มการผลิตถ่านหินภายในประเทศซึ่งอาจทำให้อุปสงค์การนำเข้าถ่านหินของจีนลดลง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่ายอดขายถ่านหินของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 33-41 ล้านตันต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 อีกด้วย

  • บทบาทที่แข็งแกร่งขึ้นในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐ ฯ

ธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน (Shale Gas) ของบริษัทมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นหลังจากที่บริษัทได้ซื้อกิจการก๊าซธรรมชาติ North Texas มูลค่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งช่วยให้กำลังการผลิตสุทธิเพิ่มขึ้นอีก 225 ล้านลูกบาศก์ฟุต (ลบ.ฟ.) ต่อวัน และทำให้กำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติรวมของกลุ่มเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 900 ล้าน ลบ.ฟ. ต่อวัน ทั้งนี้ แหล่งก๊าซธรรมชาติแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับแหล่งก๊าซธรรมชาติ Barnett ที่มีอยู่ของเดิมของบริษัท

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 แหล่งก๊าซธรรมชาติของบริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและสร้าง EBITDA ที่ประมาณ 848 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่บริษัท โดยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้เป็นผลมาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นและผลผลิตที่ได้มาเพิ่มเติมจากแหล่ง North Texas ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565

ทั้งนี้ ราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 87% เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ประมาณ 6.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู (Million British Thermal Unit -- MMBTU) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ส่วนยอดขายก๊าซธรรมชาติก็เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 197 พันล้าน ลบ.ฟ. (Billion Cubic Feet -- bcf)

ทริสเรทติ้งประมาณการว่ายอดขายก๊าซธรรมชาติของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 310-340 พันล้าน ลบ.ฟ. ในระหว่างปี 2566-2567 จากประมาณ 275-285 พันล้าน ลบ.ฟ. ในปี 2565 โดยส่วนเพิ่มนี้ส่วนใหญ่จากการรับรู้การผลิตเต็มปีจากแหล่ง North Texas ที่บริษัทเพิ่งซื้อกิจการเข้ามาใหม่ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตจากแหล่งก๊าซแต่ละแห่งที่มีอยู่แล้วในช่วงที่ก๊าซธรรมชาติมีราคาสูงอีกด้วย

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบริษัทจะสร้าง EBITDA ที่ประมาณ 620-780 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2567 ซึ่งคิดเป็น 45%-55% ของ EBITDA ของทั้งกลุ่ม

  • การลงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (Greener)

การลงทุนในธุรกิจพลังงานของบริษัทจะให้ความสำคัญกับโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ประมาณ 300 เมกะวัตต์ส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเป็นประมาณ 4,300 เมกะวัตต์ ณ เดือนกันยายน 2565 ซึ่งส่วนที่เพิ่มขึ้นมานี้รวมการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาที่ประเทศจีน (Zhengding Solar Rooftop) รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม 3 แห่ง (Ha Tinh Project, Chu Ngoc Project, และ Nhon Hai Projects) ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกันที่ขนาด 100 เมกะวัตต์ ตลอดจนโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์อื่น ๆ ในประเทศไทยและอินโดนีเซีย การลงทุนดังกล่าวช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่พอร์ตการลงทุนของบริษัทในโรงไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงาน

ธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้นช่วยสร้างกระแสเงินสดที่สามารถคาดการณ์ได้ให้แก่บริษัทโดยประมาณ 70% ของโรงไฟฟ้าของบริษัทดำเนินงานภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ซื้อไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะสามารถสร้าง EBITDA ให้แก่บริษัทได้ประมาณ 70-120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2567 เมื่อเทียบกับ 61 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 โดย EBITDA จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นนี้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานเต็มปีในปี 2565 ของโรงไฟฟ้า Temple I และ Berly & Manildra ในประเทศออสเตรเลียและเงินปันผลรับจากโรงไฟฟ้า Nakoso IGCC ในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป

  • ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจ "Greener"

ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงระหว่างปี 2564-2565 ช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุนให้แก่บริษัทช่วงระหว่างปี 2566-2567 ซึ่งบริษัทอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านธุรกิจจากธุรกิจเหมืองถ่านหินมาสู่ธุรกิจพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การผลิตก๊าซธรรมชาติและการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วน EBITDA ที่มาจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับถ่านหินให้มีสัดส่วนประมาณ 50% ของ EBITDA รวมของบริษัทภายในปี 2568 โดยบริษัทมีแผนจะมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน ตลอดจนธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงระหว่างปี 2565-2567 ซึ่งรวมถึงการซื้อกิจการแหล่งก๊าซธรรมชาติ North Texas มูลค่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ผ่านมา ตลอดจนการลงทุนในธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) มูลค่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามจำนวน 2 แห่งที่ซื้อกิจการมาเมื่อช่วงต้นปี 2565 ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 50 เมกะวัตต์ การลงทุนในธุรกิจถ่านหินเพื่อการบำรุงรักษาทรัพย์สินและเพื่อการขยายกำลังการผลิตจากเหมืองที่มีอยู่เดิม และการลงทุนอื่น ๆ นอกเหนือจากที่มีภาระผูกพันเพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจ "Greener"

ในเดือนตุลาคม 2565 บริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิ BANPU-W4 มูลค่า 243 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตดังกล่าวของบริษัท ทั้งนี้ จากประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะได้รับเงินเพิ่มขึ้นอีก 365 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิ BANPU-W5 ซึ่งมีราคาให้สิทธิอยู่ที่ 7 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่การเพิ่มทุนนี้ไม่เป็นไปตามแผน ทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าบริษัทจะมีความยืดหยุ่นในการพิจารณาปรับลดการลงทุนขยายธุรกิจ "Greener" ลงเพื่อควบคุมให้อัตราส่วนเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ในระดับ 1.2 เท่าตามนโยบายของบริษัท

จากประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง EBITDA ของบริษัทในปี 2565 น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.8-2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.8-1.9 เท่าในปี 2565 ซึ่งถือต่ำกว่าปรกติจากสภาวะราคาพลังงานที่สูงมากเป็นพิเศษ

สำหรับในช่วงระหว่างปี 2566-2567 นั้น ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าทั้งราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจะชะลอตัวลงสู่ระดับปรกติใกล้เคียงกับในช่วงก่อนปี 2564 โดยคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.5-1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงปี 2566-2567 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังได้รวมเงินลงทุนสำหรับธุรกิจ "Greener" ของบริษัทนอกเหนือจากภาระผูกพันที่มีอยู่แล้วรวมมูลค่า 1.6-1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าไว้ในประมาณการสำหรับปี 2566-2567 ด้วย ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจึงน่าจะกลับเข้าสู่ระดับปรกติที่ 3.0-4.0 เท่าตลอดช่วงเวลาประมาณการ ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 48%-53% ในช่วงปี 2565-2567 จากระดับ 63% ในปี 2564

  • ระดับสภาพคล่องน่าพอใจ

ทริสเรทติ้เรทติ้งมองว่าบริษัทมีสถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดย ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดประมาณ 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ทั้งที่มีและไม่มีเงื่อนไขผูกพันที่ประมาณ 449 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 1.45-1.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะ 12 เดือนข้างหน้าด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับเงินเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิในเดือนตุลาคม 2565 มูลค่าประมาณ 243 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งแหล่งสภาพคล่องเหล่านี้ถือว่าเพียงพอสำหรับการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวรวมถึงการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในระยะ 12 เดือนข้างหน้าที่จำนวนประมาณ 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

  • โครงสร้างหนี้สิน

ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้รวมอยู่ที่จำนวนประมาณ 6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนประกอบด้วยหนี้ของบริษัทย่อยซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันมูลค่า 46 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันมูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทที่ระดับประมาณ 28% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • ดัชนีราคาถ่านหิน Newcastle Coal Price Index จะอยู่ที่ประมาณ 355 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2565 แล้วจะชะลอตัวเหลือ 150 ถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2566 และปี 2567 ตามลำดับ
  • ราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub Natural Gas Price จะอยู่ที่ประมาณ 6.33 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูในปี 2565 แล้วจะชะลอตัวสู่ระดับ 4.5-5.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูในช่วงปี 2566-2567
  • ยอดขายถ่านหินรายปีจากเหมืองอินโดนีเซียและออสเตรเลียจะอยู่ที่ประมาณ 30-31 ล้านตันในปี 2565 และ 33-41 ล้านตันในช่วงปี 2566-2567
  • ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและเงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2565-2567 โดยรวมการลงทุนที่ไม่มีภาระผูกพันด้วย
  • เงินเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิจะมีมูลค่าประมาณ 365 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมถ่านหินต่อไป โดยเงินปันผลรับจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่มั่นคงและกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของอุตสาหกรรมถ่านหินลงได้บางส่วน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าวินัยทางการเงินและการบริหารเงินสดที่ระมัดระวังก็จะช่วยให้บริษัทสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมมีความผันผวนไปได้อีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 2 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้เป็นอย่างมาก ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้หากราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติลดลงจากระดับที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การลงทุนโดยการก่อหนี้เพิ่มจนส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญและอย่างต่อเนื่องก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตลงได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ